งานวิจัยที่มีผู้เข้าดูมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ อ่าน รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
93100
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
93065
การใช้นํ้าหมักชีวภาพต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักกาดหอมเรดโอ๊คที่ปลูก ในระบบไฮโดรโปนิกส์ งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
92431

งานวิจัยที่มีผู้เข้าดาวน์โหลดมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ ดาวน์โหลด รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
356
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
570
การใช้นํ้าหมักชีวภาพต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักกาดหอมเรดโอ๊คที่ปลูก ในระบบไฮโดรโปนิกส์ งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
345

การศึกษาปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวโพดฝักอ่อน (พันธุ์แปซิฟิค271)
ผู้วิจัย เกษม สุดดี | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 89419 ครั้ง ดาวน์โหลด 107 ครั้ง

บทคัดย่อ

    เรื่อง                        การศึกษาปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของ       ข้าวโพดฝักอ่อน(พันธุ์แปซิฟิค271)

                                    Study on Organic and Chemical Fertilizer on Growth and Yield of                               Baby Corn (cv.Pacific 271)

    โดย                         นายเกษม สุดดี

    ชื่อปริญญา              วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)

    ปีการศึกษา              2556

    อาจารย์ที่ปรึกษา      อาจารย์ โดม หาญพิชิตวิทยา

 

                   งานวิจัยนี้เพื่อหาอัตราปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตของข้าวโพดฝักอ่อนพันธุ์แปซิฟิค271โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ภายในบล็อก จำนวน 3 ซ้ำ ประกอบด้วยกลุ่มทดลองที่ 1 ไม่ใส่ปุ๋ย กลุ่มทดลองที่ 2 ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ กลุ่มทดลองที่ 3 ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัว) อัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ กลุ่มทดลองที่ 4 ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัว) อัตรา 750 กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่  กลุ่มทดลองที่ 5 ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัว) อัตรา 500 กิโลกรัม ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 25  กิโลกรัมต่อไร่ ศึกษาการใช้ปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวโพดฝักอ่อน (พันธุ์แปซิฟิค271) ผลการทดลอง พบว่า การใช้ปุ๋ยคอก (มูลวัว) 500 กิโลกรัม/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมี อัตรา 25  กิโลกรัมต่อไร่ มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากมีความสูงเฉลี่ยของต้น น้ำหนักฝักสดปอกเปลือกเฉลี่ย น้ำหนักฝักสดปอกเปลือก เกรด L และ S มากที่สุด คือ 139 เซนติเมตร  177 กิโลกรัม/ไร่ 150 กิโลกรัม/ไร่ และ 3 กิโลกรัม/ไร่ ตามลำดับ มีน้ำหนักฝักสดทั้งเปลือก ความยาวฝัก และน้ำหนักฝักสดปอกเปลือก เกรด M เฉลี่ย ปานกลาง คือ 669 กิโลกรัม/ไร่ 10.1 เซนติเมตร และ 8 กิโลกรัม/ไร่ ตามลำดับ รองลงมาได้แก่ การใช้ปุ๋ยคอก (มูลวัว) 750 กิโลกรัม/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมี อัตรา 25  กิโลกรัมต่อไร่ และการใส่ปุ๋ยเคมี 50 กิโลกรัม/ไร่ ตามลำดับ ในขณะที่การใช้ปุ๋ยคอก เพียงอย่างเดียว ให้ผลไม่แตกต่างทางสถิติ กับการไม่ใส่ปุ๋ย มีค่าน้อยที่สุดในทุกตัวชี้วัด

 



ประสิทธิภาพเหยื่อล่อหอยเชอรี่จากพืช
ผู้วิจัย พรพิศ สมพร | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 88830 ครั้ง ดาวน์โหลด 11 ครั้ง

ประสิทธิภาพเหยื่อล่อหอยเชอรี่จากพืช

Efficacy of Golden Apple Snail Bait from Plants

โดย                          นางสาวพรพิศ  สมพร

ชื่อปริญญา                วิทยาศาสตรบัณฑิต ( เกษตรศาสตร์ )

ปีการศึกษา         2556

อาจารย์ที่ปรึกษา         อาจารย์  ดร. สังวาล  สมบูรณ์

 

                   ศึกษาประสิทธิภาพในการใช้พืชชนิดต่างๆ เป็นเหยื่อล่อหอยเชอรี่  เพื่อล่อให้หอยเชอรี่กินเหยื่อมากขึ้นหรือล่อให้มารวมกลุ่มกันจำนวนมากและง่ายต่อการกำจัด  วางแผนการทดลองแบบ  Completely  Randomized  Design  (CRD) โดยใช้ใบผักบุ้งใบมันสำปะหลัง ใบมันเทศ และใบมะละกอเปรียบเทียบกับเหยื่อล่อสำเร็จรูปเป็นลักษณะให้หอยเชอรี่เลือกอาหาร (choice test)  ผลการทดลองพบว่าเมื่อถัวเฉลี่ยระยะเวลา  12  ชั่วโมง  เหยื่อล่อใบมันเทศมีประสิทธิภาพดีที่สุด  สามารถล่อหอยเชอรี่ให้มารวมกลุ่มกันได้มากที่สุด  เฉลี่ยคือ  39.31 %  รองลงมาได้แก่  เหยื่อล่ออาหารปลาดุก   ใบผักบุ้ง    ใบมันสำปะหลัง  และใบมะละกอ  มีค่าเท่ากับ   33.49  33.46   28.24  และ  20.95 %  ตามลำดับ  แต่เมื่อวิเคราะห์เป็นรายชั่วโมงพบว่า  การใช้เหยื่อล่อจากใบมันเทศ  จะมีประสิทธิภาพดีที่สุด  ภายใน  7  ชั่วโมงแรก  รองลงมาคือ  อาหารปลาดุก   ใบผักบุ้ง  และใบมันสำปะหลัง  ในขณะที่เหยื่อล่อใบมะละกอ  อาจต้องใช้ระยะเวลานานขึ้นประมาณชั่วโมงที่  6  ถึง  10  จึงจะมีประสิทธิภาพดีที่สุด  ดังนั้นถ้าต้องการประสิทธิภาพในการเป็นเหยื่อล่อหอยเชอรี่ให้มารวมตัวกัน เพื่อง่ายต่อการป้องกันกำจัดหรือผสมกับเหยื่อพิษภายใน    6  ชั่วโมงแรก  ควรเลือกใช้เหยื่อล่อใบมันเทศ  แต่ถ้า  8   ชั่วโมง  ขึ้นไป  ควรเลือกใช้เหยื่อล่อใบมะละกอ  จึงจะได้ผลดีที่สุด

 



ผลของการใช้ทางใบปาล์มน้ำมันอัดเม็ดในสูตรอาหารข้น ต่อปริมาณการกินได้และกระบวนการหมักในกระเพาะรูเมน ของโครีดนม
ผู้วิจัย นายกฤษฎา พาดำเนิน และคณะ | ปีที่พิมพ์ 2559 | อ่าน 88616 ครั้ง ดาวน์โหลด 36 ครั้ง

บทคัดย่อ

 

การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ทางใบปาล์มน้ำมันอัดเม็ดในสูตรอาหารข้น ต่อปริมาณการกินได้และกระบวนการหมักในกระเพราะรูเมนสำหรับโครีดนม โดยใช้ทางใบปาล์มน้ำมันเอ็ดเม็ดผสมในสูตรอาหารข้นที่ระดับ 0, 25, 50, 75 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ใช้โครีดนมลูกผสมพันธุ์โฮสไตน์ฟรีเชี่ยนจำนวน 4 ตัว วางแผนการทดลองแบบ 4x4 จัตุรัสลาติน (4x4 Latin Square Design, LSD) ผลการทดลองพบว่า ปริมาณการกินได้ของอาหารข้น ปริมาณการกินได้ของอาหารหยาบ ปริมาณการกินได้ทั้งหมด อุณหภูมิ และค่าความเป็นกรด-ด่าง ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ (P>0.05) แต่เมื่อเพิ่มระดับการใช้ทางใบปาล์มน้ำมันอัดเม็ดในสูตรอาหารข้นทำให้ค่าแอมโมเนีย-ไนโตรเจนเพิ่มขึ้น ที่เวลา 4 ชั่วโมง หลังการให้อาหาร และมีค่าสูงสุดเมื่อใช้ทางใบปาล์มน้ำมันอัดเม็ดในสูตรอาหารข้น 75 เปอร์เซ็นต์ (P<0.05) การเสริมทางใบปาล์มน้ำมันอัดเม็ดในสูตรอาหารข้นที่ระดับมากขึ้น อาจมีแนวโน้มทำให้ปริมาณการกินได้ลดน้อยลง ดังนั้น การเสริมทางใบปาล์มน้ำมันอัดเม็ดในสูตรอาหารข้นที่เหมาะสมคือที่ระดับ 50 เปอร์เซ็นต์ ทำให้โคมีปริมาณการกินได้ดีที่สุด

 

คำสำคัญ: ทางใบปาล์มน้ำมันอัดเม็ด, อาหารข้น, โครีดนม, ปริมาณการกินได้, กระบวนการหมักในกระเพาะ

              รูเมน

 

Abstract

 

This experiment was to study the effects of oil palm fronds pellet on feed intake  and rumen fermentation of lactating dairy cows. Four,Holstein-Friesian cross bred cows were randomly assigned according to a 4x4 Latin Square Design, to received oil palm fronds pellet in concentrate at 0, 25, 50 and 75%, respectively. It was found that concentrate intake, roughage intake, total dry matter intake, ruminal temperature, and ruminal pH were not significantly different among treatment (P<0.05). While, rumen ammonia-nitrogen (NH3-N) at 4 hours post feeding was increased when increasing level of oil palm fronds pellet in concentrate, which was highest in cow feed with 75% oil palm fronds pellet in concentrate (P<0.05) .Furthermore, increasing level of oil palm fronds pelletin concentrate resulted in a decrease dry matter intake. In conclusion, level of oil palm fronds pellet in concentrate for lactating dairy cows should not exceed 50%.

 

Key words:oil palm fronds pellet, concentrate, lactating dairy cows, feed intake, rumen     

                 fermentation



การใช้กกราชินีเพื่อทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางรม
ผู้วิจัย ปรันยาน์ มณีสร้อย | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 89006 ครั้ง ดาวน์โหลด 19 ครั้ง

การใช้กกราชินีเพื่อทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางรม

Using Umbrella Plant(CyperusinvolucratusRottb.)to Substitute Sawdust for Oyster Mushroom (Pleurotusosttreatus (Fr.) Kummer) Production

โดย                       นางสาวปรันยาน์  มณีสร้อย

ชื่อปริญญา            วิทยาศาสตรบัณฑิต(เกษตรศาสตร์)

ปีการศึกษา2556

อาจารย์ที่ปรึกษา   อาจารย์ ดร. เสกสรร  ชินวัง

 

ศึกษาการใช้กกราชินีทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางรม โดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) แบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 5 กลุ่มทดลอง ๆ ละ 3 ซ้ำ ๆ ละ 5 ถุง ๆ ละ 320 กรัม (น้ำหนักแห้ง)พบว่า ระยะเวลาในการบ่มตัวของเชื้อเห็ดก่อนการออกดอกนานที่สุดคือ กลุ่มทดลองที่ 5 (กกราชินีร้อยละ 100)รองลงมาคือ  กลุ่มทดลองที่ 4

(ขี้เลื่อยร้อยละ 25 กกราชินีร้อยละ 75) กลุ่มทดลองที่ 1 (ขี้เลื่อยร้อยละ 100)กลุ่มทดลองที่ 3

(ขี้เลื่อยร้อยละ 50 กกราชินีร้อยละ 50) และกลุ่มทดลองที่ 2 (ขี้เลื่อยร้อยละ 75 กกราชินีร้อยละ 25) โดยมีระยะเวลาในการบ่มตัวของเชื้อเห็ดคือ 26 22 2120 และ 20 วัน ตามลำดับส่วนปริมาณดอกต่อถุงมากที่สุดคือ กลุ่มทดลองที่ 1 รองลงมาคือ  กลุ่มทดลองที่ 3กลุ่มทดลองที่ 4 กลุ่มทดลองที่ 2 และกลุ่มทดลองที่ 5 ให้จำนวนดอกเห็ดเฉลี่ยคือ 7.93 6.36 5.33 4.47 และ 2.61 ดอก/ถุง ตามลำดับ และน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยมากที่สุดคือ กลุ่มทดลองที่ 1 รองลงมาคือกลุ่มทดลองที่ 2 กลุ่มทดลองที่ 4กลุ่มทดลองที่ 3 และกลุ่มทดลองที่ 5 ให้น้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยเท่ากับ  64.58 31.56 30.44 29.84 และ 14.67 กรัม/ถุง ตามลำดับ ดังนั้นอัตราส่วนของกกราชินีที่เหมาะสมสำหรับใช้ทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางรมคือ การใช้กกราชินีร้อยละ 25 ขี้เลื่อยร้อยละ 75 เนื่องจากมีระยะเวลาในการบ่มตัวของเชื้อเร็วที่สุด และให้ผลผลิตรองมาจากการใช้ขี้เลื่อยร้อยละ 100 เท่านั้นการใช้กกราชินีเสริมในวัสดุเพาะเป็นการช่วยลดต้นทุนในการผลิตเห็ดของเกษตรกรได้เนื่องจากเป็นวัสดุที่มีมากและหาได้ง่ายในท้องถิ่น

 


เข้าสู่ระบบ