งานวิจัยที่มีผู้เข้าดูมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ อ่าน รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
92925
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
92874
การใช้นํ้าหมักชีวภาพต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักกาดหอมเรดโอ๊คที่ปลูก ในระบบไฮโดรโปนิกส์ งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
92285

งานวิจัยที่มีผู้เข้าดาวน์โหลดมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ ดาวน์โหลด รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
356
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
570
การใช้นํ้าหมักชีวภาพต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักกาดหอมเรดโอ๊คที่ปลูก ในระบบไฮโดรโปนิกส์ งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
345

ผลการใช้มันสำปะหลังหมักยีสต์ในอาหารแม่โครีดนม
ผู้วิจัย จตุรพร ผิวจันทร์และคณะ | ปีที่พิมพ์ 2557 | อ่าน 88356 ครั้ง ดาวน์โหลด 5 ครั้ง



ผลของสภาวะในการอบแห้งและชนิดของบรรจุภัณฑ์ที่มีผลต่อคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์กระเจี๊ยบเขียวแผ่นอบแห้ง
ผู้วิจัย นางสาวรัตญาก้อนคำบา และ นางสาวอภิญญา ดวงไข | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 89712 ครั้ง ดาวน์โหลด 84 ครั้ง

บทคัดย่อ

หัวข้อปัญหาพิเศษ         ผลของสภาวะในการอบแห้งและชนิดของบรรจุภัณฑ์

                             ที่มีต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์กระเจี๊ยบเขียวแผ่นอบแห้ง

นักศึกษา                   นางสาวรัตญา    ก้อนคำบา

                    นางสาวอภิญญา   ดวงไข

สาขาวิชา                  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร

อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ กิตติพร  สุพรรณผิว

 

งานวิจัยนี้ได้ศึกษาผลของสภาวะในการอบแห้งและชนิดของบรรจุภัณฑ์ที่มีต่อคุณภาพผลิตภัณฑ์กระเจี๊ยบเขียวแผ่นอบแห้งโดยใช้สภาวะในการอบแห้งที่แตกต่างกัน 3วิธี คือ1.) อบที่ 60 องศาเซลเซียสนาน 7 ชั่วโมง 2.) อบที่ 70 องศาเซลเซียสนาน 6 ชั่วโมง และ3.) อบที่ 80 องศาเซลเซียสนาน 5 ชั่วโมงนำมาวัดค่าสีและค่าความชื้น จากนั้นนำผลิตภัณฑ์บรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างกัน2 ชนิด คือ ถุงอลูมิเนียมฟอยล์และเมทัลไลท์ฟอยล์ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ วิเคราะห์ค่าความแข็งและปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมด  พบว่าผลิตภัณฑ์กระเจี๊ยบเขียวแผ่นอบแห้งที่อบที่สภาวะ3มีค่าสี L* a* b*สูงที่สุด เท่ากับ 42.69  -5.41 และ 23.09 ตามลำดับ และมีปริมาณความชื้นต่ำที่สุดคือ ร้อยละ  4.42  ด้านความแข็งของผลิตภัณฑ์เริ่มต้นไม่แตกต่างกัน (P>0.05)แต่เมื่อทำการเก็บรักษาเป็นเวลา 4  สัปดาห์กระเจี๊ยบเขียวแผ่นอบแห้งที่สภาวะที่3 และบรรจุในถุงเมทัลไลท์-ฟอยล์ให้ค่าความแข็งต่ำที่สุด(P≤0.05) คือ 0.67 นิวตัน อีกทั้งยังมีปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมดต่ำที่สุด คือ 1×102 cfu/g ทั้งนี้พบว่ากระเจี๊ยบเขียวแผ่นอบแห้งที่สภาวะที่ 2 และ สภาวะที่ 3มีปริมาณจุลินทรีย์อยู่ระหว่าง 1.00-3.33×102 cfu/gซึ่งไม่เกินมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนสาหร่ายทะเลอบ (มผช. 515/2547)จากการทดลองนี้กล่าวได้ว่าในการอบแห้งที่สภาวะที่3 และบรรจุในถุงเมทัลไลท์-ฟอยล์เหมาะสมต่อการผลิตผลิตภัณฑ์กระเจี๊ยบเขียวแผ่นอบแห้งมากที่สุด เนื่องจากยังคงมีคุณภาพด้านความกรอบและมีการเจริญของจุลินทรีย์ต่ำอีกทั้งมีค่าสีเขียวและค่าความสว่างมากที่สุด

คำสำคัญกระเจี๊ยบเขียว การอบแห้งบรรจุภัณฑ์



คุณค่าทางอาหารของใบมันสาปะหลังหมักสาหรับโคพื้นเมืองไทย
ผู้วิจัย นาย จีระวัฒน์ พรมสีใหม่ และคณะ | ปีที่พิมพ์ 2559 | อ่าน 88599 ครั้ง ดาวน์โหลด 10 ครั้ง

บทคัดย่อ
การทาปัญหาพิเศษครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณค่าทางโภชนะในส่วนของใบมันสาปะหลังหมักสาหรับโคพันธุ์บราห์มันโดยนาใบมันสาปะหลังหมักกับกากน้าตาลในระดับต่างๆกันได้แก่ 0, 10, 15, 20 เปอร์เซ็นต์ และเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการอาหารในช่วงฤดูกาลขาดแคลน ตามแผนการทดลองแบบCompletely Randomized Design(CRD)
การศึกษาส่วนประกอบทางเคมี พบว่าใบมันสาปะหลังหมักร่วมกับกากน้าตาลที่ระดับ 15 เปอร์เซ็นต์และน้า 100 ml. ระยะเวลาการหมัก21 วัน เป็นเวลาที่ทาให้พืชหมักมีคุณค่าทางอาหารสูงที่สุดโดยมีปริมาณโปรตีน 24.86เปอร์เซ็นต์ และค่า NDF สูงกว่ากลุ่มอื่นคือ 27.06 เปอร์เซ็นต์ (P<0.05)และการประเมินคุณภาพพืชหมักของกลุ่มนี้พบว่ามีค่าคะแนนประเมินสูงสุดคือ 23 คะแนน จาก 25 คะแนน จะมีสีน้าตาลอ่อน มีกลิ่นหอมเปรี้ยวคล้ายผลไม้ดอง
คาสาคัญ : ใบมันสาปะหลัง, กากน้าตาล, โคบราห์มัน
ABSTRACT This special issue is aimed at evaluating the nutritional value of the cassava leaves for Brahman Cattle feeding by fermenting the difference levels of molasses ( 0, 10, 15, 20 ) and Cassava leaves. To guide the way to manage of food during season shortage According to the plan of Completely Randomized Design (CRD)
Study of chemical composition, It was found that the cassava leaves were fermented with 15 percent molasses and 100 ml water. The 21 days fermentation time was the highest nutrient value of the fermented plants with the highest protein content. 24.86 percent and NDF 27.06% (P <0.05) and quality of fermented plants showed that this group shourd the high guality score of 23 out of 25.
Keywords: Cassava leaves, Molasses, Brahman Cattle



ศึกษาอัตราปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต ของข้าวหอมนิลในนาแบบเปียกสลับแห้ง
ผู้วิจัย สัจจะ ศรีระทา | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 88799 ครั้ง ดาวน์โหลด 20 ครั้ง

เรื่อง   ศึกษาอัตราปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวหอมนิล

ในนาแบบเปียกสลับแห้ง

Study of Chemical Fertilizer Rate on Growth and Yield of Hom Nin Rice Variety Under Alternating  Wetting and Drying Condition

โดย                              นาย สัจจะ  ศรีระทา

ชื่อปริญญา                  วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)

ปีการศึกษา2556

อาจารที่ปรึกษา           อาจารย์โดม หาญพิชิตวิทยา

 

การศึกษาอัตราปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 ต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตข้าวหอมนิลในสภาพนาเปียกสลับแห้ง โดยทำการศึกษา ณ แปลงทดลองของเกษตรกร อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานีวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ในบล็อก  (Randomized Complete Block Design, RCBD) แบ่งการทดลองออกเป็น 4  กลุ่มทดลองๆละ3ซ้ำ ประกอบด้วยกลุ่มทดลองที่ 1 ไม่ใส่ปุ๋ยกลุ่มทดลองที่ 2ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 อัตรา 15 กก./ไร่กลุ่มทดลองที่3ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร

16-16-8 อัตรา 30 กก./ไร่ และกลุ่มทดลองที่4ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 อัตรา 45 กก./ไร่ผลการทดลองพบว่า การใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 อัตรา45 กก./ไร่ ทำให้ข้าวหอมนิล มีความสูงช่วง 30 และ 60 วัน จำนวนรวงต่อกอน้ำหนักเมล็ดข้าวจำนวน100 เมล็ดค่าดัชนีการเก็บเกี่ยว และผลผลิตเมล็ดข้าว มีค่าสูงที่สุด แต่เปอร์เซ็นต์เมล็ดลีบไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติในทุกกลุ่มทดลองนอกจากนี้การจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง สามารถลดต้นทุนการผลิต เป็นการใช้น้ำแบบประหยัดแต่ยังคงให้ผลผลิตข้าวในอัตราที่สูง จึงถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรในการปลูกข้าวในพื้นที่ที่ควบคุมน้ำได้


เข้าสู่ระบบ