งานวิจัยที่มีผู้เข้าดูมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ อ่าน รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
92921
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
92869
การใช้นํ้าหมักชีวภาพต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักกาดหอมเรดโอ๊คที่ปลูก ในระบบไฮโดรโปนิกส์ งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
92278

งานวิจัยที่มีผู้เข้าดาวน์โหลดมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ ดาวน์โหลด รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
356
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
570
การใช้นํ้าหมักชีวภาพต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักกาดหอมเรดโอ๊คที่ปลูก ในระบบไฮโดรโปนิกส์ งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
345

ประสิทธิภาพของสารสกัดจากบอระเพ็ด ต่อหนอนแมลงวันบ้าน
ผู้วิจัย มานะศักดิ์ รัตนนนท์ | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 89506 ครั้ง ดาวน์โหลด 13 ครั้ง

การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากบอระเพ็ดต่อหนอนแมลงวันบ้าน โดยทาการสกัดด้วยตัวทาละลาย 3 ชนิด คือ น้าเปล่า, 50% แอลกอฮอล์ และ น้าต้มที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ภายในกลุ่ม (Randomized Complete Block Designs, RCBD) มี 4 ระดับความเข้มข้น (5% 10% 20% และ 40%) จานวน 5 ซ้า ใช้หนอนแมลงวันซ้าละ 5 ตัว ทาการตรวจนับจานวนที่ตาย 12, 24 และ 36 ชั่วโมง หลังจากได้รับสารสกัด พบว่า บอระเพ็ดที่สกัดด้วย 50% แอลกอฮอล์มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ทาให้หนอนแมลงวันบ้านตายเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 12 ชั่วโมง รองลงมา คือบอระเพ็ดที่สกัดด้วยน้าต้ม 60 องศาเซลเซียส เพราะสามารถทาให้หนอนแมลงวันบ้าน ตายเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 24 ชั่วโมง โดยใช้ระดับความเข้มข้น 40% ในขณะที่บอระเพ็ดที่สกัดด้วยน้าเปล่า มีประสิทธิภาพต่าที่สุด เพราะไม่สามารถทาให้หนอนแมลงวันบ้าน ตายเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 36 ชั่วโมง โดยมีค่า Lethal Concentration fifty (LC50) เท่ากับ 34.00, 6.20 และ 2.12% ตามลาดับ ส่วนสารสกัดที่ทาให้หนอนแมลงวันบ้าน พัฒนาจนเป็นดักแด้ได้น้อยที่สุด คือ 50% แอลกอฮอล์ น้าต้ม 60 องศาเซลเซียส และน้าเปล่า ตามลาดับ ส่วนความเข้มข้นของสารสกัดบอระเพ็ดที่เหมาะสมคือ ระดับความเข้มข้น 40% เพราะสามารถทาให้หนอนแมลงวันบ้าน ตายเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 24 ชั่วโมง



การใช้กกราชินีเพื่อทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางรม
ผู้วิจัย ปรันยาน์ มณีสร้อย | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 88865 ครั้ง ดาวน์โหลด 19 ครั้ง

การใช้กกราชินีเพื่อทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางรม

Using Umbrella Plant(CyperusinvolucratusRottb.)to Substitute Sawdust for Oyster Mushroom (Pleurotusosttreatus (Fr.) Kummer) Production

โดย                       นางสาวปรันยาน์  มณีสร้อย

ชื่อปริญญา            วิทยาศาสตรบัณฑิต(เกษตรศาสตร์)

ปีการศึกษา2556

อาจารย์ที่ปรึกษา   อาจารย์ ดร. เสกสรร  ชินวัง

 

ศึกษาการใช้กกราชินีทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางรม โดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) แบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 5 กลุ่มทดลอง ๆ ละ 3 ซ้ำ ๆ ละ 5 ถุง ๆ ละ 320 กรัม (น้ำหนักแห้ง)พบว่า ระยะเวลาในการบ่มตัวของเชื้อเห็ดก่อนการออกดอกนานที่สุดคือ กลุ่มทดลองที่ 5 (กกราชินีร้อยละ 100)รองลงมาคือ  กลุ่มทดลองที่ 4

(ขี้เลื่อยร้อยละ 25 กกราชินีร้อยละ 75) กลุ่มทดลองที่ 1 (ขี้เลื่อยร้อยละ 100)กลุ่มทดลองที่ 3

(ขี้เลื่อยร้อยละ 50 กกราชินีร้อยละ 50) และกลุ่มทดลองที่ 2 (ขี้เลื่อยร้อยละ 75 กกราชินีร้อยละ 25) โดยมีระยะเวลาในการบ่มตัวของเชื้อเห็ดคือ 26 22 2120 และ 20 วัน ตามลำดับส่วนปริมาณดอกต่อถุงมากที่สุดคือ กลุ่มทดลองที่ 1 รองลงมาคือ  กลุ่มทดลองที่ 3กลุ่มทดลองที่ 4 กลุ่มทดลองที่ 2 และกลุ่มทดลองที่ 5 ให้จำนวนดอกเห็ดเฉลี่ยคือ 7.93 6.36 5.33 4.47 และ 2.61 ดอก/ถุง ตามลำดับ และน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยมากที่สุดคือ กลุ่มทดลองที่ 1 รองลงมาคือกลุ่มทดลองที่ 2 กลุ่มทดลองที่ 4กลุ่มทดลองที่ 3 และกลุ่มทดลองที่ 5 ให้น้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยเท่ากับ  64.58 31.56 30.44 29.84 และ 14.67 กรัม/ถุง ตามลำดับ ดังนั้นอัตราส่วนของกกราชินีที่เหมาะสมสำหรับใช้ทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางรมคือ การใช้กกราชินีร้อยละ 25 ขี้เลื่อยร้อยละ 75 เนื่องจากมีระยะเวลาในการบ่มตัวของเชื้อเร็วที่สุด และให้ผลผลิตรองมาจากการใช้ขี้เลื่อยร้อยละ 100 เท่านั้นการใช้กกราชินีเสริมในวัสดุเพาะเป็นการช่วยลดต้นทุนในการผลิตเห็ดของเกษตรกรได้เนื่องจากเป็นวัสดุที่มีมากและหาได้ง่ายในท้องถิ่น

 



การใช้ขุยมะพร้าวเพื่อทดแทนขี้เลื่อยในการผลิตเห็ดนางนวล
ผู้วิจัย อุไรวรรณ กำเนิดสิงห์ | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 89497 ครั้ง ดาวน์โหลด 78 ครั้ง

การใช้ขุยมะพร้าวเพื่อทดแทนขี้เลื่อยในการผลิตเห็ดนางนวล

                                     Using Coconut Husk to Substitute Sawdust for

                                     Pink Oyster Mushroom (Pleurotus djamo) Production

โดย                             นางสาวอุไรวรรณ กำเนิดสิงห์

ชื่อปริญญา              วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)

ปีการศึกษา               2556

อาจารย์ที่ปรึกษา        อาจารย์ ดร.เสกสรร ชินวัง

 

               ศึกษาการใช้ขุยมะพร้าวเพื่อทดแทนขี้เลื่อยในการผลิตเห็ดนางนวล โดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD)แบ่งเป็น 5 กลุ่มทดลองๆ             ละ 3 ซ้ำ ๆ ละ 5 ถุง ๆ ละ 320 กรัม (น้ำหนักแห้ง) พบว่ากลุ่มทดลองที่มีระยะเวลาในการบ่มตัวของเชื้อเห็ดนานที่สุด คือ ขี้เลื่อย 100 % รองลงมาคือ การใช้ขี้เลื่อย 25% ขุยมะพร้าว 75% การใช้      ขี้เลื่อย 50% ขุยมะพร้าว 50% การใช้ขุยมะพร้าว 100% และการใช้ขี้เลื่อย 75% ขุยมะพร้าว 25% โดยมีระยะเวลาในการบ่มตัวของเชื้อเห็ดเท่ากับ 25.00 19.06 17.93 15.86 และ 15 วัน ตามลำดับ ส่วนกลุ่มทดลองที่มีจำนวนดอกที่ออกต่อถุงมากที่สุด คือขี้เลื่อย 100 % รองลงมาคือ การใช้ขี้เลื่อย 75% ขุมะพร้าว 25% การใช้ขี้เลื่อย 50% ขุยมะพร้าว 50% การใช้ขี้เลื่อย 25 ขุยมะพร้าว 75% และการใช้ขุยมะพร้าว 100% โดยมีจำนวนดอกเฉลี่ยที่ 6.95 6.19 3.53 3.13  และ 2.51 ดอก/ถุง ตามลำดับ สำหรับกลุ่มทดลองที่ให้น้ำหนักสดเฉลี่ยของเห็ดนางนวลสูงที่สุดคือ  ขี้เลื่อย 75%       ขุยมะพร้าว 25% รองลงมาคือ การใช้ขี้เลื่อย 100% การใช้ ขี้เลื่อย 50%  ขุยมะพร้าว 50% การใช้  ขี้เลื่อย 25% ขุยมะพร้าว 75% และการใช้ขุยมะพร้าว 100% โดยมีน้ำหนักสดเฉลี่ยเท่ากับ 24.83 19.39 16.1814.68  และ13.48 กรัม/ถุง ตามลำดับ ดังนั้นหากต้องการใช้ ขุยมะพร้าวเพื่อทดแทน ขี้เลื่อยในการผลิตเห็ดนางนวล ควรใช้ในอัตราส่วนขี้เลื่อย 75% ขุยมะพร้าว 25% สามารถเป็นวัสดุทดแทนขี้เลื่อยในการผลิตเห็นนางนวลได้ดีที่สุด เนื่องจาก ใช้ระยะเวลาในการบ่มเชื้อเห็ดน้อยที่สุด ให้จำนวนดอกเฉลี่ยรองลงมาจากขี้เลื่อย และยังให้น้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยสูงที่สุด 



ผลของไคติน-ไคโตซานจากเปลือกหุ้มลาตัวสัตว์ต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตข้าว พื้นเมืองพันธุ์หอมทุ่ง
ผู้วิจัย ยุทธิชัย มาลาสาย | ปีที่พิมพ์ 2557 | อ่าน 87904 ครั้ง ดาวน์โหลด 9 ครั้ง

บทคัดย่อ
เรื่อง ผลของไคติน-ไคโตซานจากเปลือกหุ้มลาตัวสัตว์ต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตข้าว
พื้นเมืองพันธุ์หอมทุ่ง
Effects of Chitin-Chitosan from Animal Shells on Growth and Yield of
Indigenous Hawm Thung Rice
โดย นายยุทธิชัย มาลาสาย
ชื่อปริญญา วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)
ปีการศึกษา 2557
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ ดร.สังวาล สมบูรณ์
ศึกษาผลของไคติน-ไคโตซานจากเปลือกหุ้มลาตัวสัตว์ 3 ชนิด ได้แก่ สารไคโตซานจากเปลือกปู กุ้ง และหอย เปรียบเทียบกับสารไคโตซานจากท้องตลาด (Bio proroots) และปุ๋ยอินทรีย์ ต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวพื้นเมืองพันธุ์หอมทุ่ง โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มตลอด (Randomized Complete Block Design, RCBD) ทั้งหมด 5 กลุ่มทดลอง จานวน 5 ซ้า ซ้าละ 10 กระถาง ผลการทดลองพบว่า การฉีดพ่นสารไคโตซานจากเปลือกปู ส่งผลให้การเจริญเติบโตและผลผลิตสูงกว่ากลุ่มทดลองที่เป็นสารไคโตซานจากเปลือกลาตัวสัตว์อื่นๆ และปุ๋ยอินทรีย์ โดยมีความสูงเฉลี่ยของต้นข้าวมากที่สุดคือ 97.30 เซนติเมตร จานวนต้นต่อกอ 13 ต้น/กอ มีจานวนรวงต่อกอ 10.60 รวงต่อกอ เปอร์เซ็นต์เมล็ดเฉลี่ยทั้งหมดต่อรวง 136.10 เมล็ด เปอร์เซ็นต์เมล็ดดีต่อรวงเฉลี่ย 75.40 เปอร์เซ็นต์ เปอร์เซ็นต์เมล็ดลีบ 26.30 เปอร์เซ็นต์ และมีน้าหนักเมล็ดดี 328.25 กรัม ตามลาดับ รองลงมาคือ การฉีดพ่นสารไคโตซานจากท้องตลาด มีความสูงเฉลี่ยของต้นข้าวคือ 89.80 เซนติเมตร จานวนต้นต่อกอ 12.50 ต้น/กอ จานวนรวงต่อกอ 9.90 รวงต่อกอ เปอร์เซ็นต์เมล็ดเฉลี่ยทั้งหมดต่อรวง 118.10 เมล็ด เปอร์เซ็นต์เมล็ดดีต่อรวงเฉลี่ย 77.50 เปอร์เซ็นต์ เปอร์เซ็นต์เมล็ดลีบ 22.70 เปอร์เซ็นต์ และน้าหนักเมล็ดดี 262.60 กรัม ผลที่ได้จากการทดลอง พบว่า การใช้สารไคโต-ซานจากเปลือกปูมีแนวโน้มทาให้การเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวพื้นเมืองพันธุ์หอมทุ่งดีมากที่สุด
คาสาคัญ ข้าวพันธุ์พื้นเมือง ไคโตซาน ผลผลิต การเจริญเติบโต


เข้าสู่ระบบ