งานวิจัยที่มีผู้เข้าดูมากที่สุด
| ชื่อเรื่อง | ประเภทงานวิจัย | ปีที่พิมพ์ | อ่าน | รายละเอียด |
|---|---|---|---|---|
| การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง | งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร | 2555 | ||
| อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 | งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ | 2556 | ||
| ประสิทธิภาพของสารจากพืชในการควบคุมมอดแป้ง | งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ | 2556 |
งานวิจัยที่มีผู้เข้าดาวน์โหลดมากที่สุด
| ชื่อเรื่อง | ประเภทงานวิจัย | ปีที่พิมพ์ | ดาวน์โหลด | รายละเอียด |
|---|---|---|---|---|
| การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง | งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร | 2555 | ||
| อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 | งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ | 2556 | ||
| ประสิทธิภาพของสารจากพืชในการควบคุมมอดแป้ง | งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ | 2556 |
ผู้วิจัย ทิพย์สุดา วงศ์กลม | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 90980 ครั้ง ดาวน์โหลด 13 ครั้ง
การใช้นํ้าหมักชีวภาพต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของ ผักกาดกวางตุ้งโชว์จีนที่ปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์
The Use of Bio-Fermented Juice on Growth and Postharvest Quality of Chinese Cabbage-PAI TSAI (Brassica pekinensis L.) in Hydroponics System
โดย นางสาวทิพย์สุดา วงศ์กลม
ชื่อปริญญา วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)
ปีการศึกษา 2556
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ ดร. วิรญา ครองยุติ
งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้นํ้าหมักชีวภาพต่อการเจริญเติบโต และคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักกาดกวางตุ้งโชว์จีนที่ปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์ โดยใช้นํ้าหมักชีวภาพจากมูลวัวเสริมในอัตราส่วน 1:1, 1:2 และ 1:3 เปรียบเทียบกับการใช้สารละลายมาตรฐาน อนินทรีย์เพียงอย่างเดียว โดยวางแผนการทดลองแบบ CRD จำนวน 4 กลุ่มทดลองๆ ละ 4 ซํ้าๆ ละ 25 ต้น ผลการทดลองพบว่า การใช้นํ้าหมักชีวภาพจากมูลวัวอัตราส่วน 1:1 มีผลใกล้เคียงกันที่ทำให้การเจริญเติบโตของผักกาดกวางตุ้งโชว์จีนเพิ่มขึ้นทัดเทียมกับการใช้สารละลายมาตรฐานอนินทรีย์เพียงอย่างเดียว ทั้งในด้านความสูง ความยาวราก นํ้าหนักสดต้น และนํ้าหมักชีวภาพจากมูลเสริมวัวอัตราส่วน 1:1 ยังมีผลทำให้ผักกาดกวางตุ้งโชว์จีน มีคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวทัดเทียมกับการใช้สารละลายมาตรฐานอนินทรีย์เพียงอย่างเดียวด้วย เช่น ปริมาณคลอโรฟิลล์ เอ ปริมาณคลอโรฟิลล์ บี ปริมาณคลอโรฟิลล์รวมทั้งหมด แคโรทีนอยด์ วิตามินซี และปริมาณของแข็งที่ละลายนํ้าได้ จากการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า การใช้นํ้าหมักชีวภาพจากมูลวัวอัตราส่วน 1:1ร่วมกับสารละลายมาตรฐานอนินทีย์ สามารถนำมาทดแทนสารละลายมาตรฐานอนินทรีย์เพียงอย่างเดียวได้
ผู้วิจัย สุภาพร ขจรเพ็ชร และ ใหญ่ ละม่อม | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 92004 ครั้ง ดาวน์โหลด 31 ครั้ง
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะการบรรจุชาใบย่านางที่เหมาะสมและสามารถชะลอการสูญเสียคุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระและปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด ในชาใบย่านางระหว่างการเก็บรักษาและการยอมรับของผู้บริโภคต่อชาใบย่านางสภาวะการบรรจุแบบต่างๆ โดยศึกษาปัจจัยสภาวะการบรรจุชาใบย่านางแบบที่มีตัวดูดซับออกชิเจนและแบบไม่มีตัวดูดซับออกชิเจนเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 40 และ 50 องศาเซลเซียสนาน 6 สัปดาห์ทำการวิเคราะห์ค่ากิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระ ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด ปริมาณความชื้น ค่าสี L* a* b* และการประเมินการยอมรับของผู้บริโภคผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อกิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระได้แก่ ชนิดของถุง อุณหภูมิการเก็บรักษาและระยะเวลาการเก็บรักษา ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณสารประกอบฟีนอลิกได้แก่ชนิดของถุง อุณหภูมิการเก็บรักษา oxygen absorber และระยะเวลาการเก็บรักษาปัจจัยที่มีผลต่อความชื้นได้แก่ ชนิดของถุง อุณหภูมิการเก็บรักษา oxygen absorber และระยะเวลาการเก็บรักษา ปัจจัยที่มีผลต่อค่าสี L* ได้แก่ ชนิดของถุง oxygen absorber และระยะเวลาการเก็บรักษา ปัจจัยที่มีผลต่อค่าสี a* ได้แก่ชนิดของถุง อุณหภูมิการเก็บรักษา oxygen absorber และระยะเวลาการเก็บรักษา ปัจจัยที่มีผลต่อค่าสี b* ได้แก่ชนิดของถุง อุณหภูมิการเก็บรักษา oxygen absorber และระยะเวลาการเก็บรักษา ปัจจัยที่มีผลต่อความชอบโดยรวมได้แก่ oxygen absorber และระยะเวลาการเก็บรักษา นอกจากนี้การเก็บรักษาชาใบย่านางที่ 6 สัปดาห์มีสภาวะการบรรจุชาใบย่านางที่บรรจุด้วยถุง PE 40°C (Y) และถุง PE 50°C (Y) เป็นสภาวะการบรรจุที่เหมาะสมสำหรับการเก็บรักษาชาใบย่านางมากกว่าถุงที่บรรจุแบบชนิดอื่นๆ โดยมีความชื้นถึง 7% ในสัปดาห์ที่ 6 และมีอายุการเก็บรักษาได้นานถึง 6 สัปดาห์ที่อุณหภูมิห้อง 25°C ซึ่งมีค่ากิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 88.62 % การยับยั้งและปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดเท่ากับ 8.46 และ 8.98 มิลลิกรัมสมมูลย์กรดแกลลิค/กรัมน้ำหนักแห้ง ค่าสี a* ของชาใบย่านางที่บรรจุด้วยถุง PE 40°C (Y) และถุง PE 50°C (Y) มีค่าเท่ากับ 1.44 และ 1.62 ตามลำดับและการยอมรับของผู้บริโภคต่อชาใบย่านางที่สภาวะการบรรจุแบบที่มีตัวดูดซับออกชิเจนที่ดีที่สุดบรรจุด้วยถุง PE 40°C (Y) และถุง PE 50°C (Y) มีค่าเท่ากับ 7.30 และ 7.23 ตามลำดับ
ผู้วิจัย นางสาวศิรินภา มหิศยา และ นางสาวสุรีเรียม สมบัติวงศ์ | ปีที่พิมพ์ 2557 | อ่าน 92453 ครั้ง ดาวน์โหลด 27 ครั้ง
บทคัดย่อ
หัวข้อปัญหาพิเศษ การเหลือรอดของจุลินทรีย์โพรไบโอติกในกล้วยแช่อิ่มอบแห้งเสริมโพรไบโอติก
นักศึกษา นางสาวศิรินภา มหิศยา
นางสาวสุรีเรียม สมบัติวงศ์
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์นิราศ กิ่งวาที
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาการเหลือรอดของเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกในกล้วยน้ำว้าแช่อิ่มอบแห้ง
ว่าในกระบวนการแช่อิ่ม อบแห้ง และอุณหภูมิในการเก็บรักษา จะมีผลต่อการเหลือรอดของ
เชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกหรือไม่ โดยการแช่อิ่มกล้วยด้วยสารละลายน้ำตาล 30 °Brix ที่มีเชื้อจุลินทรีย์
L. acidophilus เริ่มต้น 8 log cfu/ml แช่อิ่มเป็นระยะเวลา 12 และ 24 ชั่วโมง พบว่าที่ 24 ชั่วโมง
มีการเหลือรอดของจุลินทรีย์โพรไบโอติกมากที่สุด มีเชื้อ 8.19 log cfu/g จากนั้นศึกษาอุณหภูมิใน
การอบว่า มีผลต่อการเหลือรอดของจุลินทรีย์ โดยใช้ตัวอย่างจากการแช่อิ่ม 2 ตัวอย่าง อบที่อุณหภูมิ
37 และ 55 °C พบว่าตัวอย่างที่แช่อิ่ม 24 ชั่วโมง อบที่ 37 °C มีการเหลือรอดของเชื้อจุลินทรีย์
โพรไบโอติกมากที่สุด มีเชื้อ 8.11 log cfu/g ส่วนในตัวอย่างที่แช่อิ่ม 24 ชั่วโมง อบที่ 55 °C มีการ
เหลือรอดของจุลินทรีย์โพรไบโอติกน้อยที่สุด มีเชื้อ 5.42 log cfu/g ตัวอย่างที่แช่อิ่ม 12 ชั่วโมง อบที่
37 °C มีค่า aW สูง และศึกษาการเหลือรอดในระหว่างการเก็บรักษาของกล้วยแช่อิ่มอบแห้งเสริม
โพรไบโอติก บรรจุแบบสุญญากาศ เก็บในอุณหภูมิที่แตกต่างกันคือ อุณหภูมิ 25 °C และอุณหภูมิ
4 °C พบว่าในตัวอย่างที่แช่อิ่ม 12 ชั่วโมง อบที่ 37 °C เก็บรักษาในอุณหภูมิ 25 °C มีการเหลือรอด
ของเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกมากที่สุด
ผู้วิจัย เกียรติศักดิ์ นะดาบุตร และคณะ | ปีที่พิมพ์ 2558 | อ่าน 91688 ครั้ง ดาวน์โหลด 5 ครั้ง
ผลของการเสริมวิตามินซีในอาหารสำเร็จรูปต่อการเจริญเติบโตของปลาทองซึ่งในการทดลองนี้ใช้ปลาทอง ขนาดน้ำหนักเริ่มต้นเฉลี่ยอยู่ในช่วง 5.4 – 6.6 กรัมต่อตัวโดยนำปลาขนาดใกล้เคียงกันใส่ตู้กระจกขนาดความจุ 70 ลิตร โดยแต่ละตู้ใส่ลูกปลาทอง 5 ตัวต่อตู้ เลี้ยงด้วยการเสริมวิตามินซีในอาหารสำเร็จรูป และทำการทดลอง 4 ชุดการทดลอง คือ ชุดการทดลองที่ 1 อาหารสำเร็จรูป (ไม่เสริมวิตามินซี) ชุดการทดลองที่ 2 อาหารสำเร็จรูป เสริมวิตามินซี 300 มิลลิกรัม ชุดการทดลองที่ 3 อาหารสำเร็จรูป เสริมวิตามินซี 400 มิลลิกรัม และ ชุดการทดลองที่ 4 อาหารสำเร็จรูป เสริมวิตามินซี 500 มิลลิกรัม ให้อาหารปลาทดลองแต่ละชุดการทดลอง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ โดยใช้แผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ Completely Randomized Design (CRD) แบ่งการทดลองออกเป็น 4Treatment แต่ละ Treatment มี 3 Replication เมื่อสิ้นสุดการทดลอง พบว่า การศึกษาการเจริญเติบโตในด้าน น้ำหนักเพิ่มขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้นต่อตัวต่อวัน อัตราการเจริญเติบโตจำเพราะต่อวัน และอัตราการรอดตาย รวมถึงการใช้ประโยชน์จากอาหาร ในด้านอัตราการกินอาหาร และอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ ซึ่งไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P>0.05) โดยปลาทองที่เลี้ยงด้วยอาหารที่เสริมวิตามินซีที่ระดับ 400 มิลลิกรัม มีการเจริญเติบโต และ การใช้ประโยชน์จากอาหารดีที่สุดเมื่อเทียบกับปลาทองที่เสริมวิตามินซีในระดับต่างๆ