งานวิจัยที่มีผู้เข้าดูมากที่สุด
ชื่อเรื่อง | ประเภทงานวิจัย | ปีที่พิมพ์ | อ่าน | รายละเอียด |
---|---|---|---|---|
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง | งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร | 2555 | ||
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 | งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ | 2556 | ||
เต้าหู้แข็งเสริมข้าวโพดสีม่วง | งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร | 2556 |
งานวิจัยที่มีผู้เข้าดาวน์โหลดมากที่สุด
ชื่อเรื่อง | ประเภทงานวิจัย | ปีที่พิมพ์ | ดาวน์โหลด | รายละเอียด |
---|---|---|---|---|
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง | งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร | 2555 | ||
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 | งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ | 2556 | ||
เต้าหู้แข็งเสริมข้าวโพดสีม่วง | งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร | 2556 |
ผู้วิจัย ศิริภรณ์ เครือแสง | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 3767 ครั้ง ดาวน์โหลด 35 ครั้ง
การใช้ลำต้นข้าวโพดสับเพื่อทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางนวล
Using Chopped Corn Stalk to Substitute Sawdust for Pink Oyster Mushroom (Pleurotus djamor) Production
โดย นางสาวศิริภรณ์ เครือแสง
ชื่อปริญญา วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)
ปีการศึกษา 2556
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ ดร. เสกสรร ชินวัง
ศึกษาการใช้ลำต้นข้าวโพดสับทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางนวลโดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) แบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 5 กลุ่มทดลองๆ ละ 3 ซ้ำๆ ละ 5 ถุง ๆ ละ 320 กรัม (น้ำหนักแห้ง) ผลการทดลองพบว่า การใช้ขี้เลื่อย 75 % ลำต้นข้าวโพดสับ 25% มีระยะเวลาในการบ่มตัวของเชื้อเห็ดก่อนการออกดอกนานที่สุด คือ 20 วัน รองลงมาได้แก่ การใช้ขี้เลื่อย 50 % ลำต้นข้าวโพดสับ 50 % การใช้ขี้เลื่อย 100% การใช้ขี้เลื่อย 25 % ลำต้นข้าวโพดสับ 75% และการใช้ลำต้นข้าวโพดสับ 100 % มีระยะเวลาการบ่มตัวของเชื้อเฉลี่ยเท่ากับ 21.86 21.98 22.66 และ 25.53 วัน ตามลำดับ ส่วนจำนวนดอกเห็ดเฉลี่ย พบว่า การใช้ขี้เลื่อย 75 % ลำต้นข้าวโพดสับ 25% มีจำนวนดอกเห็ดเฉลี่ยมากที่สุด คือ 9.91 ดอก/ถุง รองลงมาได้แก่ การใช้ขี้เลื่อย 100% การใช้ลำต้นข้าวโพดสับ 100% การใช้ขี้เลื่อย 25 % ลำต้นข้าวโพดสับ 75% และการใช้ขี้เลื่อย 50 % ลำต้นข้าวโพดสับ 50 % มีจำนวนดอกเห็ดเฉลี่ยเท่ากับ 8.22 6.37 5.11 และ 5.02 ดอก/ถุง ตามลำดับ สำหรับน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ย พบว่าการใช้ขี้เลื่อย 100% มีน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยมากที่สุด คือ 41.03 กรัม/ถุง รองลงมาได้แก่ การใช้ขี้เลื่อย 75 % ลำต้นข้าวโพดสับ 25% การใช้ลำต้นข้าวโพดสับ 100 % การใช้ขี้เลื่อย 50 % ลำต้นข้าวโพดสับ 50 % การใช้ขี้เลื่อย 25 % ลำต้นข้าวโพดสับ 75 % มีน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยเท่ากับ 32.98 27.82 25.67 และ 22.10 กรัม/ถุง ตามลำดับ ดังนั้นอัตราส่วนของลำต้นข้าวโพดสับเพื่อใช้ทดแทนขี้เลื่อยที่เหมาะสมในการเพาะเห็ดนางนวล คือ การใช้ขี้เลื่อย 75 % ร่วมกับลำต้นข้าวโพดสับ 25 % เนื่องจากมีระยะเวลาในการบ่มเชื้อเห็ดเฉลี่ยเร็วที่สุด มีจำนวนดอกเห็ดเฉลี่ยมากที่สุด และมีน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยรองลงมาจากการใช้ขี้เลื่อย 100 %
ผู้วิจัย สุนทร วงวรรณ | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 3674 ครั้ง ดาวน์โหลด 7 ครั้ง
ประสิทธิภาพในการควบคุมวัชพืชจากใบมันสาปะหลังและแมงลักคา
Efficacy of Weed Control from Cassava and Mintweed Leaves โดย นาย สุนทร วงวรรณ
ชื่อปริญญา วิทยาศาสตรบัณฑิต(เกษตรศาสตร์)
ปีการศึกษา 2556
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ ดร.สังวาล สมบูรณ์
ศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากใบมันสาปะหลังและใบแมงลักคาในการยับยั้งการเจริญเติบโตวัชพืชสาบม่วง โดยวางแผนการทดลองแบบ Completely Randomized Design (CRD) ประกอบด้วย 4 ซ้าๆ ละ 8 กรรมวิธี รวมจานวนหน่วยทดลองทั้งหมด 32 หน่วยทดลองโดยมีกลุ่มควบคุม เป็นกลุ่มที่ให้น้าตามปกติและกลุ่มพ่น เอทิลแอลกอฮอล์ 20% และกลุ่มที่ได้รับการพ่นด้วยสารสกัดของใบมันสาปะหลังและใบแมงลักคา ความเข้มข้น 1, 10, และ 20% และพ่นทุกๆ 7 วัน จนครบ 28 วัน วัดการเจริญเติบโตของสาบม่วง 5 ลักษณะ คือ ความสูง จานวนใบ
ความยาวราก น้าหนักสดและน้าหนักแห้ง ผลการทดลอง พบว่า สารสกัดของใบมันสาปะหลังและใบแมงลักคา มีผลต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของวัชพืชสาบม่วงได้ทั้ง 5 ลักษณะ โดยสารสกัดของแมงลักคาความเข้มข้น 20 % มีผลต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของวัชพืชสาบม่วงดีที่สุดรองลงมาคือสารสกัดของใบมันสาปะหลัง 20 % การเพิ่มความเข้มข้นของสารสกัด
ใบมันสาปะหลังและใบแมงลักคาทาให้การยับยั้งการเจริญเติบโตของวัชพืชสาบม่วงเพิ่มขึ้น
ผู้วิจัย ฐิติรัตน์ โกกะพันธ์ | ปีที่พิมพ์ 2557 | อ่าน 3715 ครั้ง ดาวน์โหลด 49 ครั้ง
บทคัดย่อ
เรื่อง การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีที่มีผลต่อ
การเจริญเติบโตและผลผลิตของมะระจีน
Comparison of Chemical and Organic Fertilizer Efficiency on Growth and Yield of Bitter Melon (Momordica charantia Linn.)
โดย นางสาวฐิติรัตน์ โกกะพันธ์
ชื่อปริญญา วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)
ปีการศึกษา 2557
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์นงลักษณ์ พยัคฆศิรินาวิน
งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมี ต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของมะระจีน โดยวางแผนการทดลองแบบ RCBD จานวน 5 กลุ่มทดลองๆ ละ 3 ซ้าๆ ละ 20 ต้น โดยใช้ ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ร่วมกับมูลโค มูลไก่ มูลสุกร และ มูลค้างคาว ผลการทดลองพบว่า ในกลุ่มทดลองที่ 3 คือ ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 (อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่) ร่วมกับมูลไก่ (อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่) มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ มีความสูงเฉลี่ยเท่ากับ 201.09 เซนติเมตร จานวนดอกที่ติดผลเท่ากับ 40.07 ดอกต่อต้น จานวนผลผลิตรวมเฉลี่ยเท่ากับ 37.34 ผลต่อต้น น้าหนักสดเฉลี่ยเท่ากับ 23.3 กิโลกรัมต่อต้น ความยาวผลสดเฉลี่ยคือ 22.21 เซนติเมตร และมีแนวโน้มให้ผลผลิตเกรด A มากที่สุดคือ 40.20% รองลงมาคือใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 (อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่) ร่วมกับมูลสุกร (อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่) และที่ไม่แนะนาให้ใช้คือ ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 (อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่) ร่วมกับมูลค้างคาว (อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่) เนื่องจาก ให้ความสูงเฉลี่ย จานวนดอกที่ติดผลเฉลี่ย จานวนผลผลิตรวมเฉลี่ย น้าหนักสดเฉลี่ย ความยาวผลสดเฉลี่ยน้อยที่สุดเท่ากับ 120.53 เซนติเมตร 35.67 ดอกต่อต้น 31.33 ผลต่อต้น 17.80 กิโลกรัมต่อต้น และ 16.65 เซนติเมตร ตามลาดับ และมีค่าแตกต่างกันทางสถิติ (p = 0.01)
คาสาคัญ มะระจีน ปุ๋ยเคมี มูลโค มูลไก่ มูลสุกร มูลค้างคาว
ผู้วิจัย อิทธิพล สุขเกิด | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 6316 ครั้ง ดาวน์โหลด 194 ครั้ง
ศึกษาประสิทธิภาพของสารจากพืชในการควบคุมมอดแป้ง โดยวางแผนการทดลองแบบ CRD มี 11 กลุ่มทดลอง จำนวน 5 ซํ้า มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพสารจากพืชในการควบคุมมอดแป้งของสมุนไพรทั้งหมด 10 ชนิดได้แก่ เตยหอม มะกรูด พริกไทย อบเชย ขิง ตะไคร้ หนอนตายหยาก ขมิ้น ดีปลีและพริก ผลการทดลองพบว่า พริกไทยทำให้มอดแป้งตายได้ดีที่สุดคือ 100% รองลงมาคือดีปลี พริก ตะไคร้ ขิง ขมิ้น อบเชย ใบมะกรูด และเตยหอม ทำให้มอดแป้งตายได้เท่ากับ 98%, 92%, 30%, 28%, 22%, 18%, 14% และ 14% ตามลำดับ และหนอนตายหยากทำให้มอดแป้งตายน้อยที่สุดคือ 10% ดังนั้นพืชสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมมอดแป้ง คือ พริกไทยซึ่งมีประสิทธิภาพควบคุมมอดแป้งได้ 100% และจะมีปฏิกิริยาในการตอบสนองต่อการตายของมอดแป้งในช่วงชั่วโมงที่ 96 ทำให้มีผลวัดค่าและเป็นตัวชี้วัดได้ว่าสามารถกำจัดมอดแป้งได้ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น