งานวิจัยที่มีผู้เข้าดูมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ อ่าน รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
7895
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
7805
เต้าหู้แข็งเสริมข้าวโพดสีม่วง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2556
7068

งานวิจัยที่มีผู้เข้าดาวน์โหลดมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ ดาวน์โหลด รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
354
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
568
เต้าหู้แข็งเสริมข้าวโพดสีม่วง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2556
246

อิทธิพลของสารควบคุมการเจริญเติบโตที่มีผลต่อการขยายพันธุ์ม่วงเทพรัตน์ ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
ผู้วิจัย อุบล พุ่มจันทร์ | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 5334 ครั้ง ดาวน์โหลด 188 ครั้ง

                 ศึกษาอิทธิพลของสารควบคุมการเจริญเติบโตที่มีผลต่อการขยายพันธุ์ม่วงเทพรัตน์ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยวางแผนการทดลองแบบ 2 x 7 Factorial in Completely Randomized Design (Factorial in CRD) แบ่งการทดลองออกเป็น 14 กลุ่มทดลอง ๆ ละ 5 ซ้ำ ๆ ละ 1 ขวด ผลการทดลองพบว่า เมื่อนำชิ้นส่วนตายอดและตาข้างของม่วงเทพรัตน์มาเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตร MS ที่เติม BA ความเข้มข้น 0, 0.5, 1, 1.5, 2, 2.5 และ 3 มิลลิกรัมต่อลิตรเป็นเวลา

4 สัปดาห์ (28 วัน) ชิ้นส่วนและสูตรอาหารที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงม่วงเทพรัตน์และพัฒนาไปเป็นต้นพืชที่สมบูรณ์ คือ ชิ้นส่วนตาข้างที่ไม่เติม BA มีจำนวนยอดใหม่มากที่สุด

(5.20 ยอด/ชิ้นส่วน) และมีการพัฒนาของต้นกล้าอย่างรวดเร็ว มีความสูงเฉลี่ยของต้นกล้า

มากที่สุด (2.48 เซนติเมตร) และมีเปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตสูงที่สุด (100%) รองลงมาได้แก่

การใช้ชิ้นส่วนตายอดร่วมกับ BA 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร มีการแตกยอดและเปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตปานกลาง ได้แก่ 3.60 ยอด/ชิ้นส่วนและ 80 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

 



ผลของกรดซาลิไซลิกต่อการเจริญเติบโตและลักษณะทางสรีรวิทยา บางประการของข้าวเจ้าหอมนิล ในระยะต้นกล้าภายใต้สภาวะแห้งแล้ง
ผู้วิจัย สิทธิพร ศิริไทย | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 3578 ครั้ง ดาวน์โหลด 12 ครั้ง

ศึกษาผลของกรดซาลิไซลิกต่อการเจริญเติบโตและลักษณะทางสรีรวิทยาบางประการของข้าวเจ้าหอมนิล ในระยะต้นกล้าภายใต้สภาวะแห้งแล้ง แบ่งเป็น 6 กลุ่มทดลอง ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับน้าปกติ กลุ่มแล้ง และกลุ่มที่ได้รับการพ่นสารละลายกรดซาลิไซลิก ความเข้มข้น 0.25, 0.5, 0.75 และ 1 มิลลิโมลาร์ ทาการเพาะเมล็ดและปลูกในกระถางบรรจุดินเป็นเวลา 14 วัน งดให้น้า 7 วัน ผลการทดลองพบว่าสภาวะแล้งส่งผลให้การเจริญเติบโตของต้นกล้าข้าวหอมนิลลดลง ยกเว้นความยาวราก ส่วนกรดซาลิไซลิกช่วยให้ต้นกล้าข้าวหอมนิลมีความสามารถในการทนแล้งได้ดีขึ้นโดยทาให้ความยาวราก น้าหนักสดรากและลาต้น และน้าหนักแห้งลาต้นเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีผลต่อลักษณะทางสรีรวิทยาบางประการของต้นกล้าข้าวหอมนิล ทั้งนี้จากการทดลองสามารถสรุป ได้ว่ากรดซาลิไซลิกความเข้มข้น 0.25 มิลลิโมลาร์ มีแนวโน้มทาให้ต้นกล้าข้าวหอมนิลมีความสามารถในการทนแล้งได้ดีที่สุด



ผลของอัตราส่วนระหว่างแป้งข้าวเหนียวและแป้งมันสำปะหลังที่มีต่อคุณสมบัติของขนมต้มแช่เยือกแข็ง
ผู้วิจัย กันตา นนทะศิลา และ พรนิภา หลวงเดช | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 5644 ครั้ง ดาวน์โหลด 69 ครั้ง

การศึกษาผลของอัตราส่วนแป้งข้าวเหนียวและแป้งมันสำปะหลังที่แตกต่างกัน 4 ระดับ คือ Control 4:1 2.5:1 และ 1:1 ที่มีต่อ ความแข็ง ความใส และสีของแป้งสุก และการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อขนมต้มแช่เยือกแข็ง พบว่า การเพิ่มปริมาณแป้งมันสำปะหลังทำให้ค่า Hardness สูงขึ้น ตรงกันข้าม การเพิ่มปริมาณแป้งมันสำปะหลังทำให้ค่าความโปร่งใส (% Transparency) ของเนื้อแป้งลดลง ผลการวัดค่าสี พบว่า เมื่อเพิ่มปริมาณแป้งมันสำปะหลัง ค่าสี L* และ b* ของแป้งสุก มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (P≤0.05) โดยที่ค่าสี a* มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่มีผลต่อการทดสอบทางประสาทสัมผัส พบว่า อัตราส่วนของแป้ง ไม่มีผลต่อกลิ่น การแช่และไม่แช่เยือกแข็งไม่มีผลต่อสีและเนื้อสัมผัสของขนมต้มแช่เยือกแข็ง แต่อัตราส่วนของแป้งและการแช่และไม่แช่เยือกแข็ง  มีผลร่วมต่อทุกคุณลักษณะของขนมต้มแช่เยือกแข็ง



การใช้หญ้ากินนีเพื่อทดแทนขี้เลื่อย ในการเพาะเห็ดนางฟ้า
ผู้วิจัย กันยา คิละลาย | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 4064 ครั้ง ดาวน์โหลด 48 ครั้ง

บทคัดย่อ

เรื่อง                       การใช้หญ้ากินนีเพื่อทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางฟ้า
                              Using Guinea Grass (Panicum maximum) to Substitute Sawdust for

                              Phoenix Oyster  Mushroom (Pleurotus sajor-caju) Production

โดย                        นางสาวกันยา     คิละลาย

ชื่อปริญญา             วิทยาศาสตรบัณฑิต(เกษตรศาสตร์)

ปีการศึกษา             2556

อาจารย์ที่ปรึกษา    อาจารย์ ดร. เสกสรร  ชินวัง

                 ศึกษาการใช้หญ้ากินนีทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางฟ้าโดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) แบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 5 กลุ่มทดลองๆ ละ 3 ซ้ำๆ ละ 5 ถุง ๆละ 320 กรัม (น้ำหนักแห้ง) พบว่า ระยะเวลาในการบ่มเชื้อของเห็ดสั้นที่สุด คือ กลุ่มทดลองที่ 3 ขี้เลื่อย 50% หญ้ากินนี 50%รองลงมากลุ่มทดลองที่ 2 ขี้เลื่อย 75% หญ้ากินนี25% กลุ่มทดลองที่ 4 ขี้เลื่อย 25% หญ้ากินนี 75%  กลุ่มทดลองที่ 1 ขี้เลื่อย 100% และกลุ่มทดลองที่ 5 หญ้ากินนี 100% โดยมีระยะเวลาบ่มเชื้อเห็ด คือ 19.1 19.8 19.8 20.9 และ 23.5 วัน ตามลำดับ จำนวนดอกเห็ดเฉลี่ยที่ออกต่อถุงมากที่สุด คือ กลุ่มทดลองที่ 1 รองลงมาคือ          กลุ่มทดลองที่ 2  กลุ่มทดลองที่ 3 กลุ่มทดลองที่ 4  และกลุ่มทดลองที่ 5 โดยมีจำนวนดอกเห็ดเฉลี่ยที่คือ 6.6 2.9 2.0 1.9 และ1.3 ดอก/ถุง ตามลำดับ สำหรับน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยของเห็ดนางฟ้ามากที่สุด คือ กลุ่มทดลองที่ 1 รองลงมาคือ กลุ่มทดลองที่ 2 กลุ่มทดลองที่ 3 กลุ่มทดลองที่ 4 และ กลุ่มทดลองที่ 5 โดยมีน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยที่ 36 34.3 30.2 23.5 และ18.1 กรัม/ถุง ตามลำดับ ดังนั้นการใช้หญ้ากินนีทดแทนขี้เลื่อยในการเพาะเห็ดนางฟ้าอัตราส่วนของหญ้ากินนีในวัสดุเพาะที่เหมาะสมคือ ขี้เลื่อย 75%  หญ้ากินนี 25% เนื่องจากมีจำนวนดอกเห็ดและน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยรองจากการใช้ขี้เลื่อย 100% และระยะเวลาในการบ่มเชื้อปานกลาง

 

คำสำคัญ   เห็ดนางฟ้า หญ้ากินนี ขี้เลื่อยยางพารา ผลผลิต

 

 

 


เข้าสู่ระบบ