งานวิจัยที่มีผู้เข้าดูมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ อ่าน รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
94849
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
94644
ประสิทธิภาพของสารจากพืชในการควบคุมมอดแป้ง งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
93998

งานวิจัยที่มีผู้เข้าดาวน์โหลดมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ ดาวน์โหลด รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
356
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
570
ประสิทธิภาพของสารจากพืชในการควบคุมมอดแป้ง งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
197

อัตราปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของถั่วพุ่มเมล็ดดำพันธุ์ อุบลราชธานี (cv. CP 4-2-3-1)
ผู้วิจัย นายศิริศักดิ์ แซ่โชว์ | ปีที่พิมพ์ 2558 | อ่าน 89792 ครั้ง ดาวน์โหลด 16 ครั้ง

บทคัดย่อ

 

 

เรื่อง                อัตราปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของถั่วพุ่มเมล็ดดำพันธุ์ 

                      อุบลราชธานี (cv. CP 4-2-3-1)

                      Chemical Fertilizers Rates on Growth and Yield of   

                      Ubonratchathani Black Grain Cowpea (cv. CP 4-2-3-1)

โดย                 นายศิริศักดิ์    แซ่โชว์

ชื่อปริญญา         วิทยาศาสตรบัณทิต (เกษตรศาสตร์)

ปีการศึกษา         2558

อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์โดม หาญพิชิตวิทยา  

 

   การศึกษาอัตราปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบและผลผลิตถั่วพุ่มเมล็ดดำพันธุ์อุบลราชธานี โดยวางแผนการทดลองแบบ Randomize Complete Block Design (RCBD) ประกอบไปด้วย 4

กลุ่มทดลอง 1.) ไม่ใส่ปุ๋ย 2.) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 อัตรา 15 กิโลกรัมต่อไร่ 3.) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 อัตรา 15 กิโลกรัมต่อไร่ (แบ่งใส่ 2 ครั้ง) 4.) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ จำนวน 3 ซ้ำ พบว่า การใส่ปุ๋ยเคมีช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตของถั่วพุ่มเมล็ดดำพันธุ์อุบลราชธานี (cv. CP 4-2-3-1) ดีกว่าการไม่ใส่ปุ๋ยเคมี และอัตราการใส่ปุ๋ยเคมีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือปุ๋ยเคมี 12-24-12 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ (กลุ่มทดลองที่ 4) เนื่องจากต้นถั่วพุ่มมีความสูงเฉลี่ยของต้น ผลผลิตมวลชีวภาพ จำนวนฝักต่อต้น จำนวนเมล็ดต่อฝัก และน้ำหนักผลผลิตรวมเฉลี่ยของเมล็ด มีค่ามากที่สุด เท่ากับ 64 เซนติเมตร 802 กิโลกรัมต่อไร่ 10 ฝักต่อต้น 18 เมล็ดต่อฝัก และ 291 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ และมีค่าแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง รองลงมาได้แก่ การใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 อัตรา 15 กิโลกรัมต่อไร่ (แบ่งใส่ 2 ครั้ง) (กลุ่มทดลองที่ 3) และการใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 อัตรา 15 กิโลกรัมต่อไร่ (กลุ่มทดลองที่ 2) ดัชนีทุกตัวชี้วัดมีค่าปานกลางยกเว้นเปอร์เซ็นต์การกะเทาะเมล็ด ค่าดัชนีการเก็บเกี่ยว และน้ำหนักผลผลิตรวมเฉลี่ย มีค่าไม่แตกต่างกันทางสถิติกับการใช้ปุ๋ยเคมี 12-24-12 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ (กลุ่มทดลองที่ 4) ในขณะที่กลุ่มทดลองที่ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี (Control) (กลุ่มทดลองที่ 1) มีค่าตัวชี้วัดทุกตัวต่ำที่สุด ยกเว้นดัชนีการเก็บเกี่ยว แต่ก็ไม่แตกต่างทางสถิติกับกลุ่มทดลองอื่นๆ



ผลของอัตราส่วนระหว่างแป้งข้าวเหนียวและแป้งมันสำปะหลังที่มีต่อคุณสมบัติของขนมต้มแช่เยือกแข็ง
ผู้วิจัย กันตา นนทะศิลา และ พรนิภา หลวงเดช | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 93095 ครั้ง ดาวน์โหลด 71 ครั้ง

การศึกษาผลของอัตราส่วนแป้งข้าวเหนียวและแป้งมันสำปะหลังที่แตกต่างกัน 4 ระดับ คือ Control 4:1 2.5:1 และ 1:1 ที่มีต่อ ความแข็ง ความใส และสีของแป้งสุก และการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อขนมต้มแช่เยือกแข็ง พบว่า การเพิ่มปริมาณแป้งมันสำปะหลังทำให้ค่า Hardness สูงขึ้น ตรงกันข้าม การเพิ่มปริมาณแป้งมันสำปะหลังทำให้ค่าความโปร่งใส (% Transparency) ของเนื้อแป้งลดลง ผลการวัดค่าสี พบว่า เมื่อเพิ่มปริมาณแป้งมันสำปะหลัง ค่าสี L* และ b* ของแป้งสุก มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (P≤0.05) โดยที่ค่าสี a* มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่มีผลต่อการทดสอบทางประสาทสัมผัส พบว่า อัตราส่วนของแป้ง ไม่มีผลต่อกลิ่น การแช่และไม่แช่เยือกแข็งไม่มีผลต่อสีและเนื้อสัมผัสของขนมต้มแช่เยือกแข็ง แต่อัตราส่วนของแป้งและการแช่และไม่แช่เยือกแข็ง  มีผลร่วมต่อทุกคุณลักษณะของขนมต้มแช่เยือกแข็ง



ประสิทธิภาพของสารสกัดจากบอระเพ็ด ต่อหนอนแมลงวันบ้าน
ผู้วิจัย มานะศักดิ์ รัตนนนท์ | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 91553 ครั้ง ดาวน์โหลด 13 ครั้ง

การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากบอระเพ็ดต่อหนอนแมลงวันบ้าน โดยทาการสกัดด้วยตัวทาละลาย 3 ชนิด คือ น้าเปล่า, 50% แอลกอฮอล์ และ น้าต้มที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ภายในกลุ่ม (Randomized Complete Block Designs, RCBD) มี 4 ระดับความเข้มข้น (5% 10% 20% และ 40%) จานวน 5 ซ้า ใช้หนอนแมลงวันซ้าละ 5 ตัว ทาการตรวจนับจานวนที่ตาย 12, 24 และ 36 ชั่วโมง หลังจากได้รับสารสกัด พบว่า บอระเพ็ดที่สกัดด้วย 50% แอลกอฮอล์มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ทาให้หนอนแมลงวันบ้านตายเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 12 ชั่วโมง รองลงมา คือบอระเพ็ดที่สกัดด้วยน้าต้ม 60 องศาเซลเซียส เพราะสามารถทาให้หนอนแมลงวันบ้าน ตายเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 24 ชั่วโมง โดยใช้ระดับความเข้มข้น 40% ในขณะที่บอระเพ็ดที่สกัดด้วยน้าเปล่า มีประสิทธิภาพต่าที่สุด เพราะไม่สามารถทาให้หนอนแมลงวันบ้าน ตายเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 36 ชั่วโมง โดยมีค่า Lethal Concentration fifty (LC50) เท่ากับ 34.00, 6.20 และ 2.12% ตามลาดับ ส่วนสารสกัดที่ทาให้หนอนแมลงวันบ้าน พัฒนาจนเป็นดักแด้ได้น้อยที่สุด คือ 50% แอลกอฮอล์ น้าต้ม 60 องศาเซลเซียส และน้าเปล่า ตามลาดับ ส่วนความเข้มข้นของสารสกัดบอระเพ็ดที่เหมาะสมคือ ระดับความเข้มข้น 40% เพราะสามารถทาให้หนอนแมลงวันบ้าน ตายเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 24 ชั่วโมง



อิทธิพลของ Heiter และน้ำมะนาว ต่อการยืดอายุการปักแจกันของใบเฟิน- นาคราชชนิดใบหยาบ
ผู้วิจัย ปนัดดา สุภาษร | ปีที่พิมพ์ 2557 | อ่าน 90090 ครั้ง ดาวน์โหลด 10 ครั้ง

บทคัดย่อ

 

เรื่อง                  อิทธิพลของ Heiter และน้ำมะนาว ต่อการยืดอายุการปักแจกันของใบเฟิน-

นาคราชชนิดใบหยาบ

Effect of Heiter and Lemonade on Vase Life of Polynesian Foot Fern

(Davallia solida)

โดย                    นางสาวปนัดดา  สุภาษร

ชื่อปริญญา          วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)

ปีการศึกษา          2557

อาจารย์ที่ปรึกษา   อาจารย์ ดร.สุจิตรา  สืบนุการณ์

 

ศึกษาอิทธิพลของ Heiter และน้ำมะนาว ต่อการยืดอายุการปักแจกันของใบเฟินนาคราชชนิดใบหยาบ โดยวางแผนการทดลองแบบ 6x 5Factorial in Completely Randomized Design

เปรียบเทียบกับชุดควบคุม (น้ำประปา) รวมทั้งหมด 31 กลุ่มทดลอง แต่ละกลุ่มทดลองมี 10 ซ้ำ ซ้ำละ 1 ก้าน เป็นเวลา 26 วัน ผลการทดลอง พบว่า การใช้สารละลาย Heiter 0.1% ร่วมกับน้ำมะนาวสำเร็จรูป 20 ml มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากสามารถยืดอายุการปักแจกันเฉลี่ยได้นานที่สุด คือ 21.10 วัน มีเปอร์เซ็นต์การเหลืองของใบน้อยที่สุดเมื่อสิ้นสุดการทดลอง (26 วัน) คือ 31.76% ของพื้นที่ใบทั้งหมด และมีเปอร์เซ็นต์การสูญเสียน้ำหนักสดปานกลาง คือ 9.36% รองลงมาได้แก่ การใช้สารละลาย Heiter 0.1% ร่วมกับน้ำมะนาวสำเร็จรูป 15 ml หรือ 5 ml มีอายุการปักแจกันเฉลี่ย 20.80 วัน และ 20.00 วัน ตามลำดับ และมีเปอร์เซ็นต์การสูญเสียน้ำหนักสด เท่ากับ 9.40% และ 4.93% ตามลำดับ นอกจากนี้ พบว่า การใช้สารละลาย Heiter ร่วมกับ น้ำมะนาวสำเร็จรูปในความเข้มข้นที่สูงขึ้น ส่งผลให้ค่า pH ของสารละลายมีความเป็นด่างมากขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสี ของใบจากสีเขียวเป็นสีเหลืองอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหากต้องการยืดอายุการปักแจกันของใบเฟินนาคราชชนิดใบหยาบ ควรใช้ความเข้มข้นของสารละลาย Heiter เท่ากับ 0.1% ร่วมกับการแปรผันความเข้มข้นของน้ำมะนาวสำเร็จรูประหว่าง 5-20 ml และควรปรับ pH ของสารละลายให้มีสภาพเป็นกรด (pH 3-4) จะทำให้สามารถยืดอายุการปักแจกันเฉลี่ยได้นานกว่าชุดควบคุม (น้ำประปา) ที่มีอายุการปักแจกันเฉลี่ยเพียง 16.39 วัน และมีความแตกต่างกันทางสถิติ (p=0.01)

คำสำคัญ  ใบเฟินนาคราชชนิดใบหยาบ  Heiter  น้ำมะนาวสำเร็จรูป  การยืดอายุการปักแจกัน


เข้าสู่ระบบ