งานวิจัยที่มีผู้เข้าดูมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ อ่าน รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
93295
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
93190
การใช้นํ้าหมักชีวภาพต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักกาดหอมเรดโอ๊คที่ปลูก ในระบบไฮโดรโปนิกส์ งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
92534

งานวิจัยที่มีผู้เข้าดาวน์โหลดมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ ดาวน์โหลด รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
356
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
570
การใช้นํ้าหมักชีวภาพต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักกาดหอมเรดโอ๊คที่ปลูก ในระบบไฮโดรโปนิกส์ งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
345

ผลของชนิดโปรตีนอุณหภูมิและอิมัลซิไฟเออร์ต่อความคงตัว ของกะทิคืนรูป
ผู้วิจัย ธัญญา ยมมา และ พักตร์จิรา วงศ์ทอง | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 89579 ครั้ง ดาวน์โหลด 31 ครั้ง

แนวโน้ม 5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการนำเข้ามะพร้าวแห้งเพิ่มขึ้น เนื่องจากวัตถุดิบมะพร้าวที่ผลิตในประเทศมีแนวโน้มลดลง ผู้ผลิตจึงต้องนำเข้าเนื้อมะพร้าวแช่แข็งจากต่างประเทศ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงได้ศึกษาการผลิตน้ำกะทิคืนรูปจากองค์ประกอบที่มีอยู่ ได้แก่ น้ำ น้ำมันมะพร้าว โปรตีน และน้ำตาล โดยศึกษาผลของโปรตีน 2 ชนิดคือโปรตีนนมและโปรตีนถั่วเหลือง รูปแบบการแปรรูป 3 ระดับ คือLow Temperature Long Time (LTLT, 63C นาน 30นาที) High Temperature Shot Time (HTST, 72C นาน 15 วินาที)และ Sterilize 121 C นาน 15 นาที และอิมัลซิไฟเออร์คือ PolyoxyethyleneSorbitanMonostearate(Tween 60) จากนั้นทำการวิเคราะห์ด้านกายภาพ ได้แก่ การวัดค่าสี L*a*b* ค่าความหนืดและการแยกชั้นครีม พบว่า ตัวอย่างที่มีการเติมโปรตีนนมมีค่าสี L* และ b*มากกว่าตัวอย่างควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P≤0.05) แต่ค่าสี b*น้อยกว่าตัวอย่างที่เติมโปรตีนถั่วเหลืองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P≤0.05) ตัวอย่างที่เติมโปรตีนนมและโปรตีนถั่วเหลืองมีค่าความหนืดน้อยกว่าตัวอย่างควบคุม คือ 89.29 89.71 และ 136.24 cPตามลำดับ ตัวอย่างที่เติมโปรตีนถั่วเหลืองเกิดการแยกชั้นครีมช้ากว่าโปรตีนนม การให้ความร้อนอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ค่าสี L* ลดลง และค่า b*เพิ่มขึ้นในทุกๆตัวอย่าง เนื่องจากในกะทิคืนรูปมีส่วนผสมของน้ำตาลเมื่อได้รับความร้อนจึงเกิดปฏิกิริยาเมลลาร์ดและโปรตีนถั่วเหลืองมีสีครีม อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นไม่มีผลต่อค่าความหนืด และอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นของตัวอย่างที่เติมโปรตีนนมกับโปรตีนถั่วเหลืองมีผลทำให้เกิดการแยกชั้นครีมเร็ว การเติมอิมัลซิไฟเออร์Tween 60 เป็นอิมัลซิไฟเออร์ที่มีค่า HLB =14.9 เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในอิมัลชันชนิดน้ำมันในน้ำ พบว่าตัวอย่างที่เติม Tween 60 อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าสี L* แต่ค่าสี b* เพิ่มขึ้นเมื่อให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 121C นาน 15 นาที ตัวอย่างที่เติม Tween 60 อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นไม่มีผลต่อค่าความหนืด ส่วนตัวอย่างที่เติม Tween 60 เกิดการแยกชั้นครีมช้ากว่าตัวอย่างที่ไม่เติม Tween 60



ความเข้มข้นของกรดซัลฟิวริกต่อการทำลายการพักตัวของเมล็ดกล้วยพัด
ผู้วิจัย ณัฐวุฒิ กรงาม | ปีที่พิมพ์ 2557 | อ่าน 88509 ครั้ง ดาวน์โหลด 9 ครั้ง

บทคัดย่อ

 

เรื่อง                ความเข้มข้นของกรดซัลฟิวริกต่อการทำลายการพักตัวของเมล็ดกล้วยพัด

                       Concentration of Sulfuric Acid on Dormancy Breaking of         

                       Traveller’s Palm Seed

โดย                  นายณัฐวุฒิ  กรงาม

ชื่อปริญญา         วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)

ปีการศึกษา         2557

อาจารย์ที่ปรึกษา  อาจารย์ ดร. สุจิตรา  สืบนุการณ์

 

  ศึกษาความเข้มข้นของกรดซัลฟิวริกต่อการทำลายการพักตัวของเมล็ดกล้วยพัด โดยวางแผนการทดลองแบบ  3X5 Factorial in Completely Randomized  Design  ประกอบด้วย 15 กลุ่มทดลอง กลุ่มทดลองละ 2 ซ้ำๆ ละ 50 เมล็ด  เปรียบเทียบกับชุดควบคุม เป็นระยะเวลา 30 วัน  ผลการทดลอง  พบว่า การใช้กรดซัลฟิวริกความเข้มข้น  75%  นาน  6 นาที มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีเปอร์เซ็นต์การงอกสูงที่สุด 70  เปอร์เซ็นต์  อัตราเร็วเฉลี่ยในการงอก 7 วัน เมล็ดมีพัฒนาการเป็นต้นกล้ารวดเร็วกว่ากลุ่มทดลองอื่นๆ มีเปอร์เซ็นต์เมล็ดแข็ง และเมล็ดตายเท่ากับ 13 และ 17% ตามลำดับ ในขณะที่ความยาวราก ความสูงต้นกล้า และความสูงต้นกล้ารวมรากเฉลี่ย มีค่าปานกลาง  คือ  4.55  4.45  และ 8.95 เซนติเมตร ตามลำดับ รองลงมา คือ การใช้กรดซัลฟิวริกความเข้มข้น  75%  นาน  8 นาที  มีอัตราเร็วเฉลี่ยในการงอก 7 วัน  เปอร์เซ็นต์การงอก เปอร์เซ็นต์เมล็ดแข็งและเปอร์เซ็นต์เมล็ดตายเฉลี่ยปานกลาง  คือ มีค่าเท่ากับ  61  9  และ  30%  ตามลำดับ ความสูงเฉลี่ยของต้นกล้า และความสูงเฉลี่ยของต้นกล้ารวมราก ไม่แตกต่างทางสถิติกับการแช่กรดซัลฟิวริกความเข้มข้น  75%  นาน 6 นาที  คือ มีค่าเท่ากับ  4.70  และ  9.40  เซนติเมตร ส่วนความยาวรากเฉลี่ย มีค่าเท่ากับ 4.70 เซนติเมตร สำหรับความเข้มข้นและระยะเวลาในการแช่กรดซัลฟิวริกในการทำลายการพักตัวของเมล็ดกล้วยพัดที่ไม่แนะนำให้ใช้ คือ กรดซัลฟิวริกความเข้มข้น 50%  นาน 2 นาที เนื่องจากไม่เกิดการงอกของเมล็ดตลอดระยะเวลาทำการทดลอง

 



ผลของกระบวนการเตรียมแป้งที่มีต่อคุณภาพของปาท่องโก๋แช่เยือกแข็ง
ผู้วิจัย ศิรัญญา ละดาดก และ ลดาวัลย์ เบิกบาน | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 91178 ครั้ง ดาวน์โหลด 171 ครั้ง

งานวิจัยนี้ได้ศึกษาการเตรียมแป้งที่มีผลต่อปาท่องโก๋แช่เยือกแข็งโดยศึกษาผลของกระบวนการเตรียมแป้งปาท่องโก๋ก่อนการแช่เยือกแข็งที่แตกต่างกัน คือ แป้งขึ้นรูป (ไม่ทอด) และ แป้งขึ้นรูปทอด 2 นาที ก่อนการแช่เยือกแข็งด้วยวิธีแช่เยือกแข็งแบบช้าที่อุณหภูมิ –18C ที่มีผลต่อ ปริมาณไขมัน สี เนื้อสัมผัสของตัวอย่างหลังการทอดปาท่องโก๋ และการยอมรับของผู้บริโภค พบว่า ปาท่องโก๋ที่เตรียมจากแป้งทอด 2 นาที ที่อุณหภูมิ 170 – 180C จะให้ค่า L* a* และ b* เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับตัวอย่างควบคุม (P≤0.05) ผลการวิเคราะห์ปริมาณไขมัน พบว่าปาท่องโก๋ที่เตรียมจาก แป้งขึ้นรูปมีปริมาณไขมันที่น้อยกว่าตัวอย่างควบคุม และแป้งทอด 2 นาที โดยมีค่าร้อยละ 8.87 21.75 และ 15.32 ตามลำดับ (P≤0.05) ผลของการวิเคราะห์เนื้อสัมผัส โดยใช้เครื่องมือ Texture profile analyser พบว่าปาท่องโก๋ที่เตรียมจากแป้งทอด 2 นาที มีค่าความกรอบที่สูงกว่าตัวอย่างควบคุม (P≥0.05) ส่วน ค่าความแข็งมีค่าที่ต่ำกว่าตัวอย่างควบคุม (P≤0.05) ด้านผลการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสของปาท่องโก๋แช่เยือกแข็ง พบว่า แป้งทอด 2 นาทีได้รับการยอมรับทางลักษณะปรากฏ สี เนื้อสัมผัส และความชอบรวม จากผู้ประเมินสูงสุดจึงถือว่าเป็นสภาวะที่เหมาะสมในการผลิตต่อไปในอนาคต



การเพาะเห็ดโคนน้อยกับวัสดุชนิดต่างๆ
ผู้วิจัย นิตยา พรมบู่ | ปีที่พิมพ์ 2557 | อ่าน 90925 ครั้ง ดาวน์โหลด 158 ครั้ง

บทคัดย่อ

 

 

เรื่อง                        การเพาะเห็ดโคนน้อยกับวัสดุชนิดต่างๆ  

                               Cultivation ofHypsizygus marmoreus (Peck)in Different 

                               Substrates

โดย                         นางสาวนิตยา พรมบู่

ชื่อปริญญา                วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)

ปีการศึกษา                 2557

อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ ดร. เสกสรร  ชินวัง

 

            

            ศึกษาการเพาะเห็ดโคนน้อยกับวัสดุชนิดต่างๆ โดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD)  แบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 4 กลุ่มทดลองๆ ละ 3 ซ้ำๆ ละ

5 ตะกร้า โดยให้ กลุ่มทดลองที่ 1 ฟางข้าว (Control) กลุ่มทดลองที่ 2 ต้นกล้วยสับ กลุ่มทดลองที่ 3 หญ้าคา และกลุ่มทดลองที่ 4 หญ้าแฝก พบว่า การใช้ฟางข้าว มีระยะเวลาในการบ่มตัวของเชื้อเห็ดก่อนการออกดอกน้อยที่สุด คือ 16.40 วัน รองลงมาได้แก่ การใช้หญ้าแฝก หญ้าคา และต้นกล้วยสับ มีระยะเวลาการบ่มตัวของเชื้อเห็ดเฉลี่ยเท่ากับ 16.63 18.83 และ 20.00 วัน ตามลำดับ ส่วนจำนวนดอกเห็ดเฉลี่ย พบว่า  การใช้ต้นกล้วยสับมีจำนวนดอกเห็ดเฉลี่ยมากที่สุด คือ 28.56 ดอกต่อตะกร้า รองลงมาได้แก่ การใช้ฟางข้าว หญ้าคา และหญ้าแฝก มีจำนวนดอกเห็ดเฉลี่ยเท่ากับ 26.40 14.43 และ 14.43 ดอกต่อตะกร้า ตามลำดับ สำหรับน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ย พบว่าการใช้ต้นกล้วยสับมีน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยมากที่สุด คือ 53.66 กรัมต่อตะกร้า รองลงมาได้แก่ การใช้ฟางข้าว หญ้าแฝกและหญ้าคา มีน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยเท่ากับ 50.00 29.00 และ 26.33 กรัมต่อตะกร้า ตามลำดับ ดังนั้นวัสดุที่เหมาะสมต่อการเพาะเห็ดโคนน้อยทดแทนฟางข้าว คือ ต้นกล้วยสับเนื่องจากมีจำนวนดอกเห็ดเฉลี่ย และน้ำหนักผลผลิตสดเฉลี่ยมากที่สุด ถึงแม้จะใช้ระยะเวลาในการบ่มตัวของเชื้อเห็ดนานที่สุดแต่ถือว่าคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ

คำสำคัญ   เห็ดโคนน้อย ฟางข้าว ต้นกล้วย และผลผลิต


เข้าสู่ระบบ