งานวิจัยที่มีผู้เข้าดูมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ อ่าน รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
96258
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
96210
ประสิทธิภาพของสารจากพืชในการควบคุมมอดแป้ง งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
95840

งานวิจัยที่มีผู้เข้าดาวน์โหลดมากที่สุด

ชื่อเรื่อง ประเภทงานวิจัย ปีที่พิมพ์ ดาวน์โหลด รายละเอียด
การเปรียบเทียบผลของการใช้กรดซิตริก (Citric Acid) และสารละลาย เกลือแกง (Sodium chloride) ที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้าตาลในแอปเปิลตัดแต่ง งานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร 2555
356
อิทธิพลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกต่อการให้ผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ ทองเฉลิม 5011 งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
570
ประสิทธิภาพของสารจากพืชในการควบคุมมอดแป้ง งานวิจัยสาขาเกษตรศาสตร์ 2556
197

การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากพืช 3 ชนิด ในการควบคุมเพลี้ยอ่อน
ผู้วิจัย นางสาวธีระวัลย์ วงมาเกษ | ปีที่พิมพ์ 2558 | อ่าน 91825 ครั้ง ดาวน์โหลด 12 ครั้ง

 

บทคัดย่อ

 

 

เรื่อง                      การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากพืช 3 ชนิดในการควบคุมเพลี้ยอ่อน

                             Efficacy  of  Plant  Extracts  for Aphids  Control

โดย                       นางสาวธีระวัลย์     วงมาเกษ

ชื่อปริญญา              วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)

ปีการศึกษา              2558

อาจารย์ที่ปรึกษา       อาจารย์ ดร. สังวาล  สมบูรณ์

 

             ศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากพืช 3 ชนิด ในการควบคุมเพลี้ยอ่อน  วางแผนการทดลองแบบ  3×3 Factorial+1 in Completely Randomized Design  (CRD) โดยใช้ความเข้มข้น  5   10 และ 15  เปอร์เซ็นต์  ที่เวลา 24  48 และ 72 ชั่วโมงเปรียบเทียบกับ  Ethyl  alcohol 50%  เป็นชุดควบคุม  พบว่า  สารสกัดจากใบดาวเรืองมีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่ 48   ชั่วโมง มีเปอร์เซ็นต์การตายเฉลี่ยของเพลี้ยอ่อนมากที่สุด  คือ  88.89 เปอร์เซ็นต์  และมีค่าไม่แตกต่างทางสถิติกับชุดควบคุม ที่มีเปอร์เซ็นต์การตายเฉลี่ย 100 เปอร์เซ็นต์  รองลงมา ได้แก่  สารสกัดจากใบยูคาลิปตัส  และสารสกัดจากใบแมงลักคา   ตามลำดับ  ส่วนความเข้มข้นของสารสกัดจากพืชที่เหมาะสมที่สุด คือ  15  เปอร์เซ็นต์  ที่ 48 ชั่วโมง  มีเปอร์เซ็นต์การตายเฉลี่ย  98.33 เปอร์เซ็นต์  รองลงมา ได้แก่      10 เปอร์เซ็นต์  และ  5 เปอร์เซ็นต์  ตามลำดับ   และเมื่อตรวจสอบระดับและระยะเวลาของความเป็นพิษ  (LC50 และ LT50)    พบว่า   สารสกัดจากใบดาวเรืองมีค่าน้อยที่สุด   ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงระดับและระยะเวลาของความเป็นพิษมากที่สุด  ดังนั้น  หากต้องการแนะนำให้เกษตรกรใช้สารสกัดจากพืชในการควบคุมเพลี้ยอ่อน  แนะนำให้ใช้สารสกัดจากใบดาวเรือง  ความเข้มข้น 10 เปอร์เซ็นต์  หรือ 15 เปอร์เซ็นต์  ภายใน  48   ชั่วโมง  สามารถทำให้เพลี้ยอ่อนตาย  ที่ 100 เปอร์เซ็นต์ รองลงมา คือ  สารสกัดจากใบยูคาลิปตัส  ความเข้มข้น 10 เปอร์เซ็นต์  หรือ  15  เปอร์เซ็นต์  ในขณะที่สารสกัดจากใบแมงลักคาทุกความเข้มข้นมีประสิทธิภาพน้อยที่สุด



ผลของอัตราส่วนระหว่างแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียวดำ และแป้งมันสำปะหลังต่อคุณลักษณะบ่งชี้คุณภาพของเส้นก๋วยจั๊บอบแห้ง
ผู้วิจัย กฤษณา ขยายวงศ์ และ กอบแก้ว แหวนเงิน | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 92134 ครั้ง ดาวน์โหลด 110 ครั้ง

งานวิจัยนี้ศึกษาผลของอัตราส่วนระหว่างแป้งข้าวเจ้า และแป้งข้าวเหนียวดำ ต่อลักษณะบ่งชี้คุณภาพของเส้นก๋วยจั๊บ โดยแปรอัตราส่วน 3 ระดับ คือ 8:1 3.5: 1 และ 3:2 ตามลำดับ ทำการอบแห้งที่อุณหภูมิ 70 °C เป็นเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที วิเคราะห์สมบัติทางกายภาพและเนื้อสัมผัส ได้แก่ ค่าสี ค่าการหดตัว ความสามารถในการคืนตัว ค่า Elasticity และค่า Hardness ผลการศึกษาพบว่าเมื่อเพิ่มปริมาณแป้งข้าวเหนียวดำ ค่าสี L* และค่าสี b* ของเส้นก๋วยจั๊บมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (P≤0.05) แต่ทำให้ค่า a* มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และค่าการหดตัวเมื่อวัดจากน้ำหนักมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะเมื่อวัดจากขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมีแนวโน้มลดลง เมื่อเพิ่มปริมาณแป้งข้าวเหนียวดำ ความสามารถในการคืนตัวเมื่อวัดจากน้ำหนักมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะเมื่อวัดจากเส้นผ่านศูนย์กลางมีแนวโน้มลดลงเมื่อเพิ่มปริมาณแป้งข้าวเหนียวดำและลดปริมาณแป้งข้าวเจ้า และค่า Elasticity และ ค่า Hardness ของเส้นก๋วยจั๊บมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (P≤0.05) เมื่อเพิ่มปริมาณแป้งข้าวเหนียวดำและลดปริมาณแป้งข้าวเจ้า



ความเข้มข้นของกรดซัลฟิวริกต่อการทำลายการพักตัวของเมล็ดกล้วยพัด
ผู้วิจัย ณัฐวุฒิ กรงาม | ปีที่พิมพ์ 2557 | อ่าน 90969 ครั้ง ดาวน์โหลด 9 ครั้ง

บทคัดย่อ

 

เรื่อง                ความเข้มข้นของกรดซัลฟิวริกต่อการทำลายการพักตัวของเมล็ดกล้วยพัด

                       Concentration of Sulfuric Acid on Dormancy Breaking of         

                       Traveller’s Palm Seed

โดย                  นายณัฐวุฒิ  กรงาม

ชื่อปริญญา         วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)

ปีการศึกษา         2557

อาจารย์ที่ปรึกษา  อาจารย์ ดร. สุจิตรา  สืบนุการณ์

 

  ศึกษาความเข้มข้นของกรดซัลฟิวริกต่อการทำลายการพักตัวของเมล็ดกล้วยพัด โดยวางแผนการทดลองแบบ  3X5 Factorial in Completely Randomized  Design  ประกอบด้วย 15 กลุ่มทดลอง กลุ่มทดลองละ 2 ซ้ำๆ ละ 50 เมล็ด  เปรียบเทียบกับชุดควบคุม เป็นระยะเวลา 30 วัน  ผลการทดลอง  พบว่า การใช้กรดซัลฟิวริกความเข้มข้น  75%  นาน  6 นาที มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีเปอร์เซ็นต์การงอกสูงที่สุด 70  เปอร์เซ็นต์  อัตราเร็วเฉลี่ยในการงอก 7 วัน เมล็ดมีพัฒนาการเป็นต้นกล้ารวดเร็วกว่ากลุ่มทดลองอื่นๆ มีเปอร์เซ็นต์เมล็ดแข็ง และเมล็ดตายเท่ากับ 13 และ 17% ตามลำดับ ในขณะที่ความยาวราก ความสูงต้นกล้า และความสูงต้นกล้ารวมรากเฉลี่ย มีค่าปานกลาง  คือ  4.55  4.45  และ 8.95 เซนติเมตร ตามลำดับ รองลงมา คือ การใช้กรดซัลฟิวริกความเข้มข้น  75%  นาน  8 นาที  มีอัตราเร็วเฉลี่ยในการงอก 7 วัน  เปอร์เซ็นต์การงอก เปอร์เซ็นต์เมล็ดแข็งและเปอร์เซ็นต์เมล็ดตายเฉลี่ยปานกลาง  คือ มีค่าเท่ากับ  61  9  และ  30%  ตามลำดับ ความสูงเฉลี่ยของต้นกล้า และความสูงเฉลี่ยของต้นกล้ารวมราก ไม่แตกต่างทางสถิติกับการแช่กรดซัลฟิวริกความเข้มข้น  75%  นาน 6 นาที  คือ มีค่าเท่ากับ  4.70  และ  9.40  เซนติเมตร ส่วนความยาวรากเฉลี่ย มีค่าเท่ากับ 4.70 เซนติเมตร สำหรับความเข้มข้นและระยะเวลาในการแช่กรดซัลฟิวริกในการทำลายการพักตัวของเมล็ดกล้วยพัดที่ไม่แนะนำให้ใช้ คือ กรดซัลฟิวริกความเข้มข้น 50%  นาน 2 นาที เนื่องจากไม่เกิดการงอกของเมล็ดตลอดระยะเวลาทำการทดลอง

 



ศึกษาผลของการแบ่งใส่ปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตข้าวโพด พันธุ์เทียนลาย 52
ผู้วิจัย ณัฐพงษ์ ชินทวัน | ปีที่พิมพ์ 2556 | อ่าน 92407 ครั้ง ดาวน์โหลด 8 ครั้ง

บทคัดย่อ
เรื่อง ศึกษาผลของการแบ่งใส่ปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตข้าวโพด
พันธุ์เทียนลาย 52
Study of Split Chemical Fertilizer Application on Growth and Yield of Maize ( Zea mays cv.Tian-lai 52 )
โดย นายณัฐพงษ์ ชินทวัน
ชื่อปริญญา วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์)
ปีการศึกษา 2556
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์โดม หาญพิชิตวิทยา
ศึกษาผลของการแบ่งใส่ปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตข้าวโพดพันธุ์เทียนลาย 52
มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอัตราปุ๋ยเคมีตามคำแนะนำกรมวิชาการเกษตรและอัตราปุ๋ยสั่งตัดต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวโพดพันธุ์เทียนลาย 52 ทำการทดลองที่แปลงปลูกพืชทดลอง
คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี วางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 5 กลุ่มทดลอง 3 ซํ้า พบว่าการใส่ปุ๋ยอัตรา16-4-8 กก.(N-P2O5-K2O) ต่อไร่ ซึ่งเป็นอัตราปุ๋ยสั่งตัด (แบ่งใส่ 4 ครั้ง) มีความสูงเฉลี่ยของต้นมากที่สุดคือ 35 61 81 114 และ 139 เซนติเมตร เมื่อทำการวัดความสูงที่ 14 21 35 และ 42 วันหลังงอก ตามลำดับ และมีความแตกต่างทางสถิติ (P = 0.05) ส่วนผลผลิตนํ้าหนักฝักสดทั้งเปลือกของการใส่ปุ๋ยอัตรา 30.5-7.5-7.5 กก.(N-P2O5-K2O) ต่อไร่ (แบ่งใส่ 4ครั้ง) ให้ผลผลิตนํ้าหนักฝักสดทั้งเปลือกเฉลี่ยสูงสุดคือ 1060 กิโลกรัมต่อไร่ และมีความแตกต่างทางสถิติ (P = 0.05) ในขณะที่ผลผลิตนํ้าหนักฝักสดปอกเปลือก การใส่ปุ๋ยอัตรา 16-4-8 กก.(N-P2O5-K2O) ต่อไร่ (แบ่งใส่ 2 ครั้ง)ให้ผลผลิตสูงสุด 682 กิโลกรัมต่อไร่และมีความแตกต่างทางสถิติ (P = 0.05)


เข้าสู่ระบบ